• Welcome to จั่นเจาดอทคอม ถามตอบ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต Forex MT4 MT5 เทรดทอง .
 

News:

Exness ลงทะเบียนระบบใหม่ ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208
https://www.exness.com/boarding/sign-up/a/73208?lng=th
1. เลือกประเทศ ไทย
2. อีเมล์จริงของคุณ
3. รหัสผ่าน
* รหัสผ่านต้องมีความยาว 8-15 ตัว
* ใช้ทั้งอักษรตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก
* ใช้ทั้งตัวเลขและตัวอักษรภาษาอังกฤษ
* ห้ามใช้อักขระพิเศษ (!@#$%^&*., และอื่นๆ)
4. ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208
---------------------------------------------------------
exness เปิดบัญชีลูกค้าใหม่ 4-31 มี.ค. 2568 รับโบนัท Rebate
เงินคืนจากการเทรด EURUSD 1 Lot Rebate 1.5 USD  ,
Gold 1 Lot  Rebate 2.80 USD , BTCUSD 1 Lot Rebate 5.74 USD
เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208
แจ้ง ID ที่เปิด ได้ที่ Line : junjaocom

Main Menu

Recent posts

#61
การกินฝรั่งและชมพู่เป็นอาหารเย็นสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ เนื่องจากผลไม้ทั้งสองชนิดนี้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับการลดน้ำหนัก:

* **แคลอรี่ต่ำ:** ฝรั่งและชมพู่มีปริมาณแคลอรี่ต่ำ ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถทานได้ในปริมาณมากโดยไม่ได้รับแคลอรี่มากเกินไป
* **ใยอาหารสูง:** ผลไม้ทั้งสองชนิดนี้มีใยอาหารสูง ซึ่งช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนาน ลดความอยากอาหาร และส่งผลให้ทานอาหารในปริมาณที่น้อยลง
* **น้ำตาลต่ำ:** ฝรั่งและชมพู่มีปริมาณน้ำตาลต่ำ ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและป้องกันการสะสมไขมัน

## คำแนะนำเพิ่มเติม

* **ปริมาณที่เหมาะสม:** ควรทานฝรั่งหรือชมพู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ประมาณ 1-2 ผล
* **ทานร่วมกับโปรตีน:** เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดน้ำหนัก ควรทานผลไม้ร่วมกับแหล่งโปรตีน เช่น โยเกิร์ตไขมันต่ำ หรือถั่ว
* **ออกกำลังกาย:** การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเผาผลาญแคลอรี่ ทำให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

## ข้อควรระวัง

* **ความหลากหลาย:** แม้ว่าฝรั่งและชมพู่จะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการลดน้ำหนัก แต่ควรทานผลไม้และอาหารอื่นๆ ให้หลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน
* **ปรึกษาแพทย์:** หากคุณมีโรคประจำตัวหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับคุณ

## ข้อมูลเพิ่มเติม

* **ค่า BMI:** จากข้อมูลที่คุณให้ ค่า BMI ของคุณคือ 29.7 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มน้ำหนักเกินเกณฑ์
* **เป้าหมาย:** การลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญ ควรตั้งเป้าหมายที่เหมาะสมและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม
----------------------------------------------------

การกินฝรั่งและชมพู่ในมื้อเย็นสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้ แต่ต้องพิจารณารวมกับการควบคุมแคลอรี่ทั้งหมดในแต่ละวัน รวมทั้งการออกกำลังกายด้วย

**ข้อดีของฝรั่งและชมพู่**:
- **ฝรั่ง**: มีไฟเบอร์สูงและน้ำตาลต่ำ ทำให้ช่วยในการย่อยอาหารและทำให้อิ่มนานขึ้น
- **ชมพู่**: มีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดการเกิดโรคต่างๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในการลดน้ำหนักคือการควบคุมแคลอรี่โดยรวม การเลือกทานผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำและไฟเบอร์สูงเป็นทางเลือกที่ดี แต่ถ้าทานมากเกินไปก็สามารถเพิ่มแคลอรี่ได้ ดังนั้น:
- คุณควรคำนึงถึงปริมาณแคลอรี่ในมื้อเย็นทั้งหมด
- เลือกรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ หรือเต้าหู้ เพื่อช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่มนานขึ้น
- ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มการเผาผลาญและสร้างกล้ามเนื้อ

ในกรณีของคุณ:
- น้ำหนัก 91 กิโลกรัม สูง 173 ซม. ค่า BMI ประมาณ 30.3 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มน้ำหนักเกินหรืออ้วน (Obesity)
- ถ้าคุณตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนัก ควรมีแผนการควบคุมอาหารที่สมดุลและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ลองหากิจกรรมที่ชอบ เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือวิ่งเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักค่ะ
---------------------------------------------------------
#62
ด้านล่างนี้คือตัวอย่างโค้ด HTML, CSS และ JavaScript ที่สร้างหน้าเว็บง่าย ๆ มีปุ่ม "กดฟัง" เพื่อให้ระบบอ่านข้อความในหน้าเว็บออกเสียงสำหรับคนที่ไม่อยากอ่านตัวหนังสือ โดยใช้ Web Speech API ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในเบราว์เซอร์สมัยใหม่ (เช่น Chrome, Edge) รองรับการอ่านข้อความเป็นภาษาไทยได้ด้วย

---

### โค้ดตัวอย่าง

```html
<!DOCTYPE html>
<html lang="th">
<head>
    <meta charset="UTF-8">
    <meta name="viewport" content="width=device-width, initial-scale=1.0">
    <title>หน้าเว็บที่มีปุ่มกดฟัง</title>
    <style>
        body {
            font-family: Arial, sans-serif;
            max-width: 800px;
            margin: 20px auto;
            padding: 20px;
            line-height: 1.6;
        }
        h1 {
            color: #333;
        }
        button {
            background-color: #4CAF50;
            color: white;
            padding: 10px 20px;
            border: none;
            border-radius: 5px;
            cursor: pointer;
            font-size: 16px;
        }
        button:hover {
            background-color: #45a049;
        }
    </style>
</head>
<body>
    <h1>ข้อมูลการศึกษาในประเทศไทย</h1>
    <button onclick="readText()">กดฟัง</button>
    <p id="content">
        จำนวนคนที่รับการศึกษาในประเทศไทยสามารถแบ่งตามระดับการศึกษาได้ดังนี้ การศึกษาขั้นพื้นฐาน
        ได้แก่ ก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา รวมถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษา และอาชีวศึกษา
        ข้อมูลคร่าว ๆ คาดว่ามีเด็กในระดับก่อนประถมศึกษาประมาณ 2 ถึง 3 ล้านคน
        ประถมศึกษาประมาณ 5 ถึง 6 ล้านคน มัธยมศึกษาตอนต้นประมาณ 2 ถึง 3 ล้านคน
        มัธยมศึกษาตอนปลายประมาณ 1.5 ถึง 2 ล้านคน อาชีวศึกษาประมาณ 6 ถึง 7 แสนคน
        และอุดมศึกษาประมาณ 1.5 ถึง 2 ล้านคน รวมทั้งหมดประมาณ 13 ถึง 15 ล้านคนในระบบการศึกษาไทย
    </p>

    <script>
        function readText() {
            // หยุดการอ่านก่อนหน้า (ถ้ามี)
            window.speechSynthesis.cancel();

            // ดึงข้อความจาก <p id="content">
            const text = document.getElementById("content").innerText;

            // สร้าง SpeechSynthesisUtterance
            const speech = new SpeechSynthesisUtterance(text);

            // ตั้งค่าภาษาเป็นภาษาไทย
            speech.lang = 'th-TH';

            // ตั้งค่าความเร็ว (1 = ปกติ, 0.5 = ช้า, 2 = เร็ว)
            speech.rate = 1;

            // ตั้งระดับเสียง (0 ถึง 1)
            speech.volume = 1;

            // ตั้งความสูงของเสียง (0 ถึง 2)
            speech.pitch = 1;

            // อ่านข้อความ
            window.speechSynthesis.speak(speech);
        }
    </script>
</body>
</html>
```

---

### คำอธิบายโค้ด
1. **HTML**:
  - มีหัวข้อ `<h1>` และย่อหน้า `<p>` ที่มีข้อความเกี่ยวกับการศึกษาในไทย (ย่อจากคำตอบก่อนหน้า)
  - ปุ่ม `<button>` ที่เมื่อกดจะเรียกฟังก์ชัน `readText()`

2. **CSS**:
  - จัดแต่งหน้าเว็บให้ดูเรียบง่าย อ่านง่าย
  - ปุ่มสีเขียวมีเอฟเฟกต์ hover เพื่อให้ดูสวยงาม

3. **JavaScript**:
  - ใช้ `SpeechSynthesisUtterance` จาก Web Speech API เพื่ออ่านข้อความ
  - ตั้งค่า `lang` เป็น `th-TH` เพื่อให้อ่านเป็นภาษาไทย
  - ปรับความเร็ว (`rate`), ระดับเสียง (`volume`), และความสูงของเสียง (`pitch`) ได้ตามต้องการ
  - `speechSynthesis.cancel()` ช่วยหยุดการอ่านก่อนหน้า เพื่อไม่ให้เสียงทับกัน

---

### วิธีใช้งาน
1. คัดลอกโค้ดนี้ไปบันทึกเป็นไฟล์ `.html` (เช่น `education.html`)
2. เปิดไฟล์ในเบราว์เซอร์ที่รองรับ Web Speech API (เช่น Google Chrome)
3. กดปุ่ม "กดฟัง" เพื่อให้ระบบอ่านข้อความออกเสียง

---

### ข้อจำกัด
- การอ่านภาษาไทยอาจไม่สมบูรณ์ 100% ขึ้นอยู่กับเบราว์เซอร์และระบบปฏิบัติการ (บางคำอาจออกเสียงแปลก ๆ เพราะยังไม่รองรับสำเนียงไทยเต็มที่)
- ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในบางกรณีเพื่อดึงข้อมูลเสียงจากเซิร์ฟเวอร์ของเบราว์เซอร์
- หากต้องการเพิ่มเนื้อหา แค่แก้ไขข้อความใน `<p id="content">`
---------------------------------------

หาก `speech.lang = 'th-TH'` ไม่ทำให้อ่านเป็นภาษาไทย อาจเกิดจากปัญหาต่อไปนี้ และนี่คือวิธีแก้ไข:

### สาเหตุที่อาจเกิดขึ้น
1. **เบราว์เซอร์ไม่รองรับภาษาไทยเต็มที่**:
   - Web Speech API ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของเบราว์เซอร์และระบบปฏิบัติการ บางเบราว์เซอร์ (เช่น Chrome, Firefox) หรือระบบ (เช่น Windows, macOS) อาจไม่มี "voice" ภาษาไทยติดตั้งมาให้
2. **ไม่มี голос (voice) ภาษาไทยในระบบ**:
   - ถ้าไม่มีเสียงภาษาไทยในระบบปฏิบัติการ เบราว์เซอร์จะ fallback ไปใช้ภาษาอื่น (เช่น อังกฤษ)
3. **ข้อจำกัดของ API**:
   - Web Speech API อาจอ่านภาษาไทยได้ไม่สมบูรณ์ เพราะการออกเสียงยังไม่แม่นยำเท่า native TTS (Text-to-Speech) อื่น ๆ

---

### วิธีแก้ไข
#### 1. **ตรวจสอบและติดตั้ง Voice ภาษาไทยในระบบปฏิบัติการ**
- **Windows**:
  1. ไปที่ `Settings > Time & Language > Language`
  2. เพิ่มภาษาไทย (`Thai`) ถ้ายังไม่มี
  3. คลิกที่ "Thai" > `Options` > ดาวน์โหลด "Speech" (หากมีให้เลือก)
- **macOS**:
  1. ไปที่ `System Settings > Accessibility > Spoken Content`
  2. เลือก "System Voice" และดูว่ามีภาษาไทยหรือไม่ (อาจต้องดาวน์โหลดเพิ่ม)
- **Linux**:
  - อาจต้องติดตั้งแพ็กเกจ TTS เช่น `festival` หรือ `espeak` และตั้งค่าเพิ่มเติม

หลังจากติดตั้งแล้ว ลองรีสตาร์ทเบราว์เซอร์และทดสอบโค้ดใหม่

#### 2. **ตรวจสอบ Voice ที่มีอยู่ในเบราว์เซอร์**
- เพิ่มโค้ดเพื่อดูว่าเบราว์เซอร์รองรับภาษาอะไรบ้าง:

```javascript
// เพิ่มใน <script> เพื่อดูรายการ voice
function listVoices() {
    const voices = window.speechSynthesis.getVoices();
    voices.forEach(voice => {
        console.log(voice.name, voice.lang);
    });
}

// เรียกฟังก์ชันนี้เมื่อโหลดหน้าเว็บ
window.speechSynthesis.onvoiceschanged = listVoices;
listVoices();
```

- เปิด Console ในเบราว์เซอร์ (กด F12 > Console) แล้วดูว่ามี `th-TH` หรือไม่
- ถ้ามี ให้แก้โค้ดใน `readText()` เพื่อเลือก voice ภาษาไทยโดยตรง:

```javascript
function readText() {
    window.speechSynthesis.cancel();
    const text = document.getElementById("content").innerText;
    const speech = new SpeechSynthesisUtterance(text);
   
    // เลือก voice ภาษาไทย (ถ้ามี)
    const voices = window.speechSynthesis.getVoices();
    const thaiVoice = voices.find(voice => voice.lang === 'th-TH');
    if (thaiVoice) {
        speech.voice = thaiVoice;
    } else {
        console.log("ไม่พบ voice ภาษาไทยในระบบ");
    }

    speech.rate = 1;
    speech.volume = 1;
    speech.pitch = 1;
   
    window.speechSynthesis.speak(speech);
}
```

#### 3. **ใช้ fallback ถ้าไม่มีภาษาไทย**
- หากระบบไม่มี voice ภาษาไทย สามารถแจ้งเตือนผู้ใช้ได้:

```javascript
function readText() {
    window.speechSynthesis.cancel();
    const text = document.getElementById("content").innerText;
    const speech = new SpeechSynthesisUtterance(text);
   
    const voices = window.speechSynthesis.getVoices();
    const thaiVoice = voices.find(voice => voice.lang === 'th-TH');
    if (thaiVoice) {
        speech.voice = thaiVoice;
    } else {
        alert("ขออภัย ระบบของคุณไม่รองรับการอ่านภาษาไทย โปรดติดตั้ง voice ภาษาไทยในระบบปฏิบัติการ");
        return;
    }

    speech.rate = 1;
    speech.volume = 1;
    speech.pitch = 1;
   
    window.speechSynthesis.speak(speech);
}
```

#### 4. **ทดสอบในเบราว์เซอร์อื่น**
- ลองใช้ Google Chrome หรือ Microsoft Edge ซึ่งมักจะมี TTS ภาษาไทยในตัว (ถ้าระบบปฏิบัติการติดตั้งไว้)
- Firefox อาจรองรับน้อยกว่าในบางกรณี

#### 5. **ทางเลือก: ใช้ Third-Party TTS API**
ถ้า Web Speech API ไม่ทำงานตามต้องการ สามารถเปลี่ยนไปใช้บริการ TTS อื่น เช่น:
- **Google Cloud Text-to-Speech**: รองรับภาษาไทยดีมาก แต่ต้องเสียเงินและเชื่อมต่อ API
- **ResponsiveVoice**: ไลบรารี TTS ที่ใช้งานง่าย รองรับภาษาไทย (มีทั้งฟรีและเสียเงิน)

ตัวอย่างการใช้ ResponsiveVoice (ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต):

```html
<script src="https://code.responsivevoice.org/responsivevoice.js?key=YOUR_API_KEY"></script>
<script>
    function readText() {
        const text = document.getElementById("content").innerText;
        responsiveVoice.speak(text, "Thai Female", {rate: 1});
    }
</script>
```
- ต้องสมัคร API Key ที่ [ResponsiveVoice](https://responsivevoice.org/) ถ้าต้องการใช้เต็มรูปแบบ

---

### โค้ดแก้ไขเต็ม (กรณีใช้ Web Speech API)
```html
<!DOCTYPE html>
<html lang="th">
<head>
    <meta charset="UTF-8">
    <meta name="viewport" content="width=device-width, initial-scale=1.0">
    <title>หน้าเว็บที่มีปุ่มกดฟัง</title>
    <style>
        body { font-family: Arial, sans-serif; max-width: 800px; margin: 20px auto; padding: 20px; line-height: 1.6; }
        h1 { color: #333; }
        button { background-color: #4CAF50; color: white; padding: 10px 20px; border: none; border-radius: 5px; cursor: pointer; font-size: 16px; }
        button:hover { background-color: #45a049; }
    </style>
</head>
<body>
    <h1>ข้อมูลการศึกษาในประเทศไทย</h1>
    <button onclick="readText()">กดฟัง</button>
    <p id="content">
        จำนวนคนที่รับการศึกษาในประเทศไทยสามารถแบ่งตามระดับการศึกษาได้ดังนี้ การศึกษาขั้นพื้นฐาน
        ได้แก่ ก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา รวมถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษา และอาชีวศึกษา
        รวมทั้งหมดประมาณ 13 ถึง 15 ล้านคนในระบบการศึกษาไทย
    </p>

    <script>
        // โหลด voice ล่วงหน้า
        window.speechSynthesis.onvoiceschanged = function() {
            const voices = window.speechSynthesis.getVoices();
            console.log("Voices ที่รองรับ:", voices);
        };

        function readText() {
            window.speechSynthesis.cancel();
            const text = document.getElementById("content").innerText;
            const speech = new SpeechSynthesisUtterance(text);
           
            const voices = window.speechSynthesis.getVoices();
            const thaiVoice = voices.find(voice => voice.lang === 'th-TH');
            if (thaiVoice) {
                speech.voice = thaiVoice;
            } else {
                alert("ขออภัย ไม่พบ voice ภาษาไทยในระบบ กรุณาติดตั้งในระบบปฏิบัติการ");
                return;
            }

            speech.rate = 1;
            speech.volume = 1;
            speech.pitch = 1;
           
            window.speechSynthesis.speak(speech);
        }
    </script>
</body>
</html>
```

---

### ขั้นตอนทดสอบ
1. บันทึกโค้ดนี้เป็นไฟล์ `.html`
2. เปิดใน Chrome หรือ Edge
3. ตรวจสอบ Console เพื่อดู voice ที่ระบบมี
4. ถ้ายังไม่อ่านเป็นไทย ให้ติดตั้ง voice ตามขั้นตอนด้านบน
#63
จำนวนคนที่รับการศึกษาในประเทศไทยสามารถแบ่งตามระดับการศึกษาได้ดังนี้ ตามข้อมูลที่มีการอัปเดตจากแหล่งต่าง ๆ (เช่น กระทรวงศึกษาธิการ UNICEF และข้อมูลสถิติการศึกษา) โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็นระดับหลัก ๆ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (ก่อนประถม, ประถม, มัธยม) และการศึกษาระดับอุดมศึกษา รวมถึงการศึกษาทางเลือกอื่น ๆ เช่น อาชีวศึกษา อย่างไรก็ตาม ข้อมูลตัวเลขที่แน่นอนอาจเปลี่ยนแปลงตามปีการศึกษา ดังนั้นจะให้ภาพรวมจากข้อมูลล่าสุดที่สามารถอ้างอิงได้ (เช่น ปีการศึกษา 2563-2567) ดังนี้:

### 1. **การศึกษาขั้นพื้นฐาน**
- **ก่อนประถมศึกษา (ปฐมวัย)**: เด็กอายุ 3-6 ปี เข้าเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรืออนุบาล ข้อมูลจาก UNICEF ระบุว่า การลงทะเบียนในระดับนี้เกือบเป็นสากล (ใกล้ 100%) แต่ไม่มีตัวเลขแน่นอนทั้งหมด คาดว่าประมาณ 2-3 ล้านคน (จากประชากรเด็กช่วงวัยนี้)
- **ประถมศึกษา (ประถม 1-6)**: เด็กอายุ 6-12 ปี เป็นการศึกษาภาคบังคับ 6 ปี อัตราการเข้าเรียนสุทธิเกือบ 100% คาดว่านักเรียนประมาณ 5-6 ล้านคน (จากข้อมูลประชากรเด็กวัยเรียน)
- **มัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-ม.3)**: เด็กอายุ 12-15 ปี ภาคบังคับ 3 ปี อัตราการเข้าเรียนสุทธิประมาณ 86% (UNICEF) คาดว่านักเรียนประมาณ 2-3 ล้านคน
- **มัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-ม.6)**: เด็กอายุ 15-18 ปี ไม่บังคับ อัตราการเข้าเรียนลดลงเหลือ 69% คาดว่านักเรียนประมาณ 1.5-2 ล้านคน

### 2. **อาชีวศึกษา**
- นักเรียนที่เลือกเรียนสายอาชีพหลัง ม.3 (เช่น ระดับ ปวช. และ ปวส.) มีจำนวนประมาณ 6-7 แสนคนต่อปี ตามข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)

### 3. **อุดมศึกษา**
- การศึกษาระดับปริญญาตรี โท และเอก ในมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษา ข้อมูลจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) คาดว่านักศึกษาระดับนี้มีประมาณ 1.5-2 ล้านคนต่อปี

### ภาพรวมจำนวนคนรับการศึกษา
- รวมทั้งหมดทุกประเภท (ก่อนประถมถึงอุดมศึกษา) คาดว่ามีผู้รับการศึกษาทั้งสิ้นประมาณ **13-15 ล้านคน** ในระบบการศึกษาไทย ณ ปีการศึกษาล่าสุด (ขึ้นอยู่กับการนับรวมเด็กนอกระบบด้วยหรือไม่)
- **หมายเหตุ**: มีเด็กและเยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษาประมาณ 6.1 แสนคน (ข้อมูลปี 2563) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มด้อยโอกาส เด็กพิการ หรือผู้อพยพ

### การแบ่งประเภทเพิ่มเติม
นอกจากระดับการศึกษา ยังสามารถแบ่งตามประเภทวิชาในสายอาชีวศึกษาได้ เช่น:
- **วิชาอุตสาหกรรม**: เครื่องกล, ไฟฟ้า, อิเล็กทรอนิกส์
- **วิชาพาณิชยกรรม**: บัญชี, การตลาด
- **วิชาคหกรรม**: อาหาร, เสริมสวย
- **วิชาเกษตรกรรม**: พืชศาสตร์, สัตวศาสตร์
- **วิชาการท่องเที่ยว**: โรงแรม, การท่องเที่ยว

หากต้องการตัวเลขที่แน่นอนกว่านี้สำหรับปี 2567/2568 แนะนำให้ตรวจสอบจากรายงานล่าสุดของกระทรวงศึกษาธิการหรือสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพราะข้อมูลอาจมีการปรับปรุงตามจำนวนประชากรวัยเรียนและนโยบายการศึกษาในแต่ละปี ค่ะ
---------------------------------------------
#64
"สามกั๊ก" (Romance of the Three Kingdoms) เป็นวรรณกรรมจีนที่เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น (ประมาณ ค.ศ. 184-280) เมื่อจักรวรรดิแตกแยกเป็นสามอาณาจักร ได้แก่ วุย (โจโฉ), จ๊ก (เล่าปี่), และง่อ (ซุนกวน) เรื่องย่อแบบสั้น ๆ มีดังนี้:

หลังจากราชวงศ์ฮั่นเสื่อมอำนาจ โจโฉ ผู้นำกองทัพที่มีไหวพริบเฉียบแหลม ครองภาคเหนือและตั้งอาณาจักรวุย เล่าปี่ ขุนนางผู้มีอุดมการณ์ ผนึกกำลังกับขงเบ้ง นักปราชญ์อัจฉริยะ สร้างอาณาจักรจ๊กที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ ขณะที่ซุนกวน ครองภาคใต้และก่อตั้งอาณาจักรง่อ สามฝ่ายต่อสู้แย่งชิงอำนาจผ่านสงครามและกลยุทธ์ เช่น การรบที่ผาแดง (Red Cliff) อันเลื่องชื่อ ซึ่งจ๊กและง่อร่วมมือตีวุย

เรื่องราวเต็มไปด้วยการทรยศ พันธมิตรชั่วคราว และวีรกรรมของตัวละคร เช่น กวนอู เตียวหุย และจูล่ง สุดท้าย อาณาจักรทั้งสามอ่อนแอลง และถูกสวี่ชาง (ตระกูลสมาชิกวุย) โค่นล้ม รวมแผ่นดินเป็นราชวงศ์จิ้นในเวลาต่อมา

สามกั๊กไม่ใช่แค่เรื่องสงคราม แต่ยังสะท้อนปรัชญาการเมือง ความจงรักภักดี และมิตรภาพ
-----------------------------------

สามก๊กเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์จีนที่เล่าถึงการต่อสู้และการแย่งชิงอำนาจในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายและแตกแยก

เรื่องราวเริ่มต้นจากการที่เล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย ได้สาบานเป็นพี่น้องกันและร่วมกันต่อสู้เพื่อกอบกู้บ้านเมือง พวกเขาได้เข้าร่วมกับกองทัพปราบโจรโพกผ้าเหลือง และสร้างชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จัก

ต่อมา เล่าปี่ได้พบกับขงเบ้ง ซึ่งเป็นนักปราชญ์ที่มีความสามารถรอบด้าน ขงเบ้งได้เข้าร่วมกับเล่าปี่และช่วยวางแผนในการทำศึกสงคราม

ในช่วงเวลานั้น โจโฉ ซึ่งเป็นขุนศึกที่มีอำนาจ ได้รวบรวมกำลังและแผ่ขยายอิทธิพล โจโฉมีความทะเยอทะยานที่จะเป็นใหญ่และครอบครองแผ่นดิน

เล่าปี่และโจโฉได้ทำสงครามกันหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีฝ่ายใดที่สามารถเอาชนะได้อย่างเด็ดขาด

นอกจากนี้ ยังมีซุนกวน ซึ่งเป็นทายาทของซุนเซ็ก ได้ตั้งตนเป็นใหญ่ในกังตั๋งและเข้าร่วมในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ

เรื่องราวของสามก๊กเต็มไปด้วยการต่อสู้ การหักเหลี่ยมเฉือนคม และความรักชาติ ในท้ายที่สุด วุยก๊กของโจโฉสามารถรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้สำเร็จ

สามก๊กเป็นนวนิยายที่ได้รับความนิยมอย่างมากและได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก เรื่องราวของสามก๊กได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร และเกมอีกมากมาย

-------------------------------------

**เรื่องย่อสามก๊ก (แบบสั้นๆ)** 
สามก๊กเป็นวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น (ประมาณ ค.ศ. 220-280) เนื้อเรื่องกล่าวถึงการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่นและการแย่งชิงอำนาจระหว่างรัฐใหญ่ 3 รัฐ ได้แก่ **วุยก๊ก** (เว่ย์) **จ๊กก๊ก** (ชู) และ **ง่อก๊ก** (อู๋) โดยมีตัวละครหลักที่สำคัญคือ **เล่าปี่**, **โจโฉ**, และ **ซุนกวน** 

### จุดเริ่มต้น 
ราชวงศ์ฮั่นเริ่มอ่อนแอจากการปกครองที่ไร้ประสิทธิภาพของพระเจ้าเหี้ยนเต้ และการก้าวขึ้นมามีอำนาจของขุนศึกอย่าง **ตั๋งโต๊ะ** หลังจากตั๋งโต๊ะถูกสังหาร สถานการณ์วุ่นวายยิ่งขึ้น นำไปสู่การแย่งชิงอำนาจระหว่างขุนศึกต่างๆ 

### การก่อตัวของสามก๊ก 
1. **เล่าปี่** ผู้นำที่มีคุณธรรม ร่วมมือกับ **กวนอู** และ **เตียวหุย** สาบานเป็นพี่น้องกัน ตั้งตนขึ้นเป็นผู้นำจ๊กก๊ก โดยมี **ขงเบ้ง** เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญ 
2. **โจโฉ** ขุนศึกผู้เก่งกาจและฉลาดแกมโกง ก่อตั้งวุยก๊ก มีเป้าหมายรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง 
3. **ซุนกวน** ผู้นำง่อก๊ก ครองดินแดนทางใต้ ใช้ประโยชน์จากภูมิศาสตร์และความเข้มแข็งทางการทหาร 

### การต่อสู้และกลยุทธ์ 
- **ศึกผาแดง** เป็นศึกใหญ่ที่โจโฉพ่ายแพ้อย่างยับเยินจากการร่วมมือของเล่าปี่และซุนกวน 
- **ขงเบ้ง** ใช้กลยุทธ์อันชาญฉลาดช่วยจ๊กก๊กหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อความแข็งแกร่งของวุยก๊ก 
- **กวนอู** และ **เตียวหุย** ถูกสังหาร นำไปสู่การล่มสลายของจ๊กก๊กในที่สุด 

### จุดจบ 
หลังจากความขัดแย้งยาวนานหลายสิบปี สามก๊กถูกรวมเป็นหนึ่งโดย **สุมาเอี๋ยน** ผู้สถาปนาราชวงศ์จิ้น สิ้นสุดยุคสามก๊ก 

### ข้อคิดจากเรื่อง 
สามก๊กสอนให้รู้จักการใช้กลยุทธ์ ความสามัคคี และความสำคัญของการเข้าใจผู้อื่น พร้อมทั้งสะท้อนให้เห็นว่าอำนาจและความสำเร็จไม่ใช่สิ่งถาวร หากขาดคุณธรรมและความรอบคอบ
-----------------------------------------
#65
"สามกั๊ก" (Romance of the Three Kingdoms) เป็นวรรณกรรมจีนคลาสสิกที่เต็มไปด้วยข้อคิดและคำคมอันลึกซึ้ง ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ ปัญญา ความสัมพันธ์ และธรรมชาติของมนุษย์ ต่อไปนี้คือการรวบรวมข้อคิดและคำคมที่สำคัญจากสามกั๊ก (แปลและตีความเป็นภาษาไทย โดยอิงจากเนื้อหาทั่วไป):

1. **"น้ำที่ใสสะอาดเกินไป ย่อมไม่มีปลา คนที่สมบูรณ์แบบเกินไป ย่อมไม่มีมิตร"** 
  - (จากโจโฉ) ข้อคิดนี้สอนว่า ความสมบูรณ์แบบมากเกินไปอาจทำให้คนอื่นรู้สึกห่างเหิน การยอมรับข้อบกพร่องบางอย่างทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีกว่า

2. **"โอกาสมาถึงเหมือนสายลม ต้องคว้าไว้เมื่อมันพัดผ่าน"** 
  - (จากขงเบ้ง) สะท้อนถึงความสำคัญของการรู้จังหวะและการตัดสินใจอย่างทันท่วงทีในสถานการณ์คับขัน

3. **"คนฉลาดใช้สมอง คนโง่ใช้กำลัง"** 
  - (จากกลยุทธ์ของขงเบ้ง) เน้นย้ำถึงพลังของปัญญาและกลยุทธ์ที่เหนือกว่าการใช้พละกำลังเพียงอย่างเดียว

4. **"ความจงรักภักดีคือรากฐานของความยิ่งใหญ่"** 
  - (จากเล่าปี่) แสดงถึงคุณค่าของความซื่อสัตย์และการยึดมั่นในหลักการ ซึ่งเป็นสิ่งที่เล่าปี่ใช้ในการรวบรวมคนที่มีความสามารถ

5. **"ศัตรูของศัตรูคือมิตร"** 
  - (จากกลยุทธ์ของซุนกวนและโจโฉ) ข้อคิดนี้ถูกใช้ในเกมการเมืองและสงครามเพื่อสร้างพันธมิตรชั่วคราว

6. **"โลกนี้เมื่อแตกแยกย่อมรวม เมื่อรวมย่อมแตก"** 
  - (คำกล่าวเปิดเรื่องสามกั๊ก) เป็นปรัชญาที่แสดงถึงวัฏจักรของอำนาจและความเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีวันสิ้นสุด

7. **"รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง"** 
  - (จากซุนวู ซึ่งถูกอ้างถึงในสามกั๊ก) เน้นความสำคัญของการเข้าใจทั้งตนเองและคู่ต่อสู้เพื่อชัยชนะ

8. **"คนที่มีคุณธรรมย่อมได้ใจประชาชน"** 
  - (จากเล่าปี่) สะท้อนถึงการปกครองด้วยความเมตตาและความยุติธรรม ซึ่งเป็นหลักการที่เล่าปี่ยึดถือ

9. **"ความไว้วางใจคือดาบสองคม"** 
  - (จากโจโฉ) แสดงถึงความระแวดระวังในการมอบความไว้วางใจ เพราะอาจนำมาซึ่งทั้งมิตรและศัตรู

10. **"วีรบุรุษที่แท้จริงเห็นแก่แผ่นดิน ไม่ใช่เห็นแก่ตัว"** 
    - (จากขงเบ้ง) ข้อคิดนี้ยกย่องการเสียสละเพื่อส่วนรวม ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ในสามกั๊ก

ข้อคิดเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นคำพูดที่สวยงาม แต่ยังเป็นบทเรียนที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารจัดการ ความสัมพันธ์ หรือการตัดสินใจ
-------------------------------------

แน่นอน นี่คือข้อคิด คำคมจากสามก๊ก:

* **"ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น"**
* **"เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย"**
* **"นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ"**
* **"ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด"**
* **"ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด"**
* **"ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย"**
* **"เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิตจะไม่คิดได้อย่างไร"**
* **"เมื่อใครสักคนหนึ่งทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา เพราะถ้าท่านเป็นเขา และตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้"**

หวังว่าคำคมเหล่านี้จะเป็นประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณนะคะ
-------------------------------------------

สามก๊ก เป็นวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์ที่มีข้อคิดและคำคมมากมายที่ยังคงเป็นที่จดจำและนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จนถึงปัจจุบัน ต่อไปนี้คือข้อคิดและคำคมเด่นๆ จากสามก๊ก:

### ข้อคิดจากสามก๊ก
1. **รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง** 
   - มาจากคำพูดของซุนหวู่ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเข้าใจตนเองและศัตรู หากรู้จุดแข็งจุดอ่อนของทั้งสองฝ่าย ก็สามารถชนะได้ทุกสถานการณ์

2. **การวางแผนที่ดีคือกุญแจสู่ชัยชนะ** 
   - การวางแผนอย่างรอบคอบและคิดหลายขั้นตอนเป็นสิ่งสำคัญในการเอาชนะศัตรู เช่น การวางกลยุทธ์ของขงเบ้งที่มักชนะด้วยการคิดหลายชั้น

3. **ผู้นำที่ดีต้องมีคุณธรรมและความเมตตา** 
   - เล่าปี่ เป็นตัวแทนของผู้นำที่มีคุณธรรมและความเมตตา ทำให้ได้รับความจงรักภักดีจากผู้คน

4. **อย่าประมาทในศัตรู** 
   - การประมาทอาจนำไปสู่ความพ่ายแพ้ เช่น กรณีของโจโฉที่พ่ายแพ้ในการศึกที่ผาแดงเพราะประมาทข้าศึก

5. **ความสามัคคีคือพลัง** 
   - การร่วมมือกันระหว่างเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย แสดงให้เห็นว่าความสามัคคีสามารถสร้างพลังที่ยิ่งใหญ่ได้

### คำคมเด่นจากสามก๊ก
1. **"คนเราถ้ารู้จักพอ ก็จะไม่รู้จักทุกข์"** 
   - สอนให้รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่โลภมากเกินไป

2. **"น้ำขึ้นให้รีบตัก"** 
   - หมายถึงเมื่อมีโอกาสดีเข้ามา ควรรีบฉวยไว้ก่อนที่จะเสียโอกาส

3. **"ศัตรูที่อ่อนแอที่สุดคือศัตรูที่แตกสามัคคีกัน"** 
   - แสดงให้เห็นว่าความแตกแยกคือจุดอ่อนที่สำคัญ

4. **"ผู้ใหญ่ย่อมรู้จักอดทน เด็กจึงจะรู้จักรอคอย"** 
   - สอนให้รู้จักความอดทนและการรอคอย

5. **"การชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการชนะโดยไม่ต้องรบ"** 
   - มาจากปรัชญาของขงเบ้ง ที่เน้นการชนะด้วยปัญญาและกลยุทธ์ โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ

### สรุป
สามก๊กไม่เพียงแต่เป็นเรื่องราวการศึกสงคราม แต่ยังแฝงไปด้วยปรัชญาและข้อคิดเกี่ยวกับชีวิต การเมือง และการเป็นผู้นำ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวางแผน การเข้าใจผู้อื่น หรือการสร้างความสามัคคีในทีม
#66
ต่อไปนี้คือข้อมูลอัตราการเกิดและการตายของประชากรไทยย้อนหลัง 20 ปี (พ.ศ. 2548 - 2567 หรือ ค.ศ. 2005 - 2024) โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่มีจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, สำนักงานสถิติแห่งชาติ, และแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออื่น ๆ เช่น สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ข้อมูลบางส่วนเป็นการประมาณการเนื่องจากไม่มีการสำมะโนทุกปี และตัวเลขอาจมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อยตามแหล่งที่มา:

### ตารางอัตราการเกิดและการตายของประชากรไทย (ต่อประชากร 1,000 คน)
| ปี พ.ศ. (ค.ศ.) | อัตราการเกิด (ต่อ 1,000 คน) | อัตราการตาย (ต่อ 1,000 คน) | จำนวนเกิด (คน) | จำนวนตาย (คน) | หมายเหตุ |
|------------------|-----------------------------|-----------------------------|-----------------|----------------|----------|
| 2548 (2005)     | 12.8                       | 6.5                        | ~800,000        | ~405,000       | การเกิดยังสูงกว่าการตายมาก |
| 2549 (2006)     | 12.5                       | 6.6                        | ~785,000        | ~415,000       | - |
| 2550 (2007)     | 12.2                       | 6.7                        | ~770,000        | ~422,000       | - |
| 2551 (2008)     | 11.9                       | 6.8                        | ~755,000        | ~431,000       | - |
| 2552 (2009)     | 11.7                       | 6.9                        | ~745,000        | ~439,000       | - |
| 2553 (2010)     | 11.6                       | 7.0                        | ~740,000        | ~448,000       | สำมะโนประชากร |
| 2554 (2011)     | 11.4                       | 7.1                        | ~730,000        | ~455,000       | - |
| 2555 (2012)     | 11.2                       | 7.2                        | ~720,000        | ~463,000       | - |
| 2556 (2013)     | 11.0                       | 7.3                        | ~710,000        | ~472,000       | - |
| 2557 (2014)     | 10.8                       | 7.4                        | ~700,000        | ~480,000       | - |
| 2558 (2015)     | 10.5                       | 7.5                        | ~690,000        | ~492,000       | - |
| 2559 (2016)     | 10.2                       | 7.6                        | ~675,000        | ~502,000       | - |
| 2560 (2017)     | 9.9                        | 7.7                        | ~657,000        | ~510,000       | - |
| 2561 (2018)     | 9.6                        | 7.8                        | ~638,000        | ~518,000       | - |
| 2562 (2019)     | 9.2                        | 7.9                        | ~612,000        | ~526,000       | - |
| 2563 (2020)     | 8.8                        | 8.0                        | ~585,000        | ~531,000       | การเกิดลดลงต่อเนื่อง |
| 2564 (2021)     | 8.4                        | 8.5                        | ~555,000        | ~563,000       | การตายแซงการเกิดครั้งแรก |
| 2565 (2022)     | 7.6                        | 8.9                        | ~502,000        | ~595,000       | ช่องว่างกว้างขึ้น |
| 2566 (2023)     | 7.4                        | 9.0                        | ~489,000        | ~600,000       | - |
| 2567 (2024)     | ~7.2 (ประมาณการ)          | ~9.1 (ประมาณการ)          | ~475,000        | ~605,000       | ข้อมูลถึงสิ้นปี (ประมาณการ) |

### ข้อมูลเพิ่มเติมและแนวโน้ม:
1. **อัตราการเกิด**: ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 12.8 ต่อ 1,000 คนในปี 2548 เหลือประมาณ 7.2 ในปี 2567 สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรสูงขึ้น อัตราการแต่งงานลดลง และภาวะเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rate: TFR) ลดลงจาก 1.8 ในปี 2543 เหลือเพียง 1.1 ในปี 2565 ซึ่งต่ำกว่าระดับทดแทน (2.1)
2. **อัตราการตาย**: เพิ่มขึ้นจาก 6.5 ต่อ 1,000 คนในปี 2548 เป็น 9.1 ในปี 2567 (ประมาณการ) เนื่องจากโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัย ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) มีสัดส่วนเพิ่มจาก 10% ในปี 2548 เป็น 20% ในปี 2566
3. **จุดเปลี่ยนสำคัญ**: ปี 2564 (2021) เป็นปีแรกที่อัตราการตายแซงอัตราการเกิด (8.5 > 8.4) ทำให้ประชากรไทยเริ่มลดลงตามธรรมชาติ โดยช่องว่างระหว่างการเกิดและการตายกว้างขึ้นในปี 2565 (เกือบ 93,000 คน)
4. **จำนวนจริง**: จำนวนการเกิดลดจากประมาณ 800,000 คนในปี 2548 เหลือเพียง 475,000 คนในปี 2567 (ประมาณการ) ขณะที่จำนวนการตายเพิ่มจาก 405,000 เป็น 605,000 คนในช่วงเวลาเดียวกัน

### ที่มาและข้อสังเกต:
- ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากสำนักบริหารการทะเบียน (กรมการปกครอง) และสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยมีการปรับปรุงจากรายงานของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึง Mahidol Population Gazette
- ปี 2567 (2024) เป็นการประมาณการจากแนวโน้มถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 (2025) ซึ่งยังไม่สิ้นปี ดังนั้นตัวเลขอาจเปลี่ยนแปลงเมื่อมีข้อมูลสมบูรณ์
- ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะ "ประชากรติดลบ" (Negative Population Growth) ตั้งแต่ปี 2564 และคาดว่าจะรุนแรงขึ้นในอนาคต หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือพฤติกรรมการมีบุตร
#67
ต่อไปนี้คือข้อมูลจำนวนประชากรไทยย้อนหลัง 20 ปี โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่มีในแหล่งต่าง ๆ เช่น สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และการประมาณการจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออื่น ๆ เช่น สำนักงานสถิติแห่งชาติ หรือ Mahidol Population Gazette ซึ่งมีการปรับปรุงข้อมูลอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลบางปีอาจมีการประมาณการหรือปรับแก้ตามการสำรวจประชากรในภายหลัง ดังนั้นตัวเลขอาจมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อยขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา:

| ปี พ.ศ. (ค.ศ.) | จำนวนประชากร (ล้านคน) | หมายเหตุ |
|------------------|-------------------------|-----------|
| 2548 (2005)     | ประมาณ 62.42           | การสำรวจประชากรเริ่มแสดงแนวโน้มการเติบโตช้าลง |
| 2549 (2006)     | ประมาณ 62.83           | - |
| 2550 (2007)     | ประมาณ 63.04           | - |
| 2551 (2008)     | ประมาณ 63.39           | - |
| 2552 (2009)     | ประมาณ 63.53           | - |
| 2553 (2010)     | 65.98                  | ข้อมูลจากการสำมะโนประชากร |
| 2554 (2011)     | ประมาณ 64.08           | - |
| 2555 (2012)     | ประมาณ 64.46           | - |
| 2556 (2013)     | ประมาณ 64.79           | - |
| 2557 (2014)     | ประมาณ 65.12           | - |
| 2558 (2015)     | ประมาณ 65.73           | - |
| 2559 (2016)     | ประมาณ 65.93           | - |
| 2560 (2017)     | ประมาณ 66.19           | - |
| 2561 (2018)     | ประมาณ 66.41           | - |
| 2562 (2019)     | 66.56                  | จำนวนประชากรสูงสุดในช่วง 20 ปีนี้ |
| 2563 (2020)     | 66.19                  | เริ่มลดลง |
| 2564 (2021)     | 66.17                  | เข้าสู่ภาวะประชากรติดลบ (ตายมากกว่าเกิด) |
| 2565 (2022)     | 66.09                  | - |
| 2566 (2023)     | 66.05                  | - |
| 2567 (2024)     | ประมาณ 65.90           | การประมาณการถึงสิ้นปี 2567 |

### หมายเหตุ:
1. **ที่มา**: ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง และมีการปรับปรุงจากแหล่งอื่น เช่น สำนักงานสถิติแห่งชาติ และรายงานจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) บางปีเป็นตัวเลขประมาณการเนื่องจากไม่มีการสำมะโนทุกปี (การสำมะโนใหญ่เกิดขึ้นทุก 10 ปี เช่น ปี 2553 และ 2563)
2. **แนวโน้ม**: ประชากรไทยมีการเติบโตช้าลงตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2000 และเริ่มลดลงอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา เนื่องจากอัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง (จาก 11.6 ต่อพันคนในปี 2556 เหลือ 7.4 ต่อพันคนในปี 2565) และอัตราการตายสูงขึ้น
3. **วันที่ปัจจุบัน**: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 (2025) ข้อมูลสำหรับปี 2568 ยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นตารางนี้ครอบคลุมถึงปี 2567 และประมาณการบางส่วนเท่านั้น

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เช่น การแจกแจงตามกลุ่มอายุหรือเพศ สามารถแจ้งมาได้เพื่อให้ผมค้นหาและจัดทำตารางเพิ่มเติมให้ครับ!
#68
ฟีโบนัชชี (Fibonacci) หมายถึง **ลำดับฟีโบนัชชี** (Fibonacci Sequence) ซึ่งเป็นลำดับตัวเลขทางคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียง โดยลำดับนี้ถูกตั้งชื่อตาม **เลโอนาร์โดแห่งปิซา** (Leonardo of Pisa) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ฟีโบนัชชี (Fibonacci) นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีในศตวรรษที่ 13 เขาไม่ได้ "ค้นพบ" ลำดับนี้ด้วยตัวเอง แต่ทำให้มันเป็นที่รู้จักในโลกตะวันตกผ่านหนังสือของเขา *Liber Abaci* (ค.ศ. 1202) ซึ่งแนะนำระบบตัวเลขฮินดู-อารบิกให้กับยุโรป

### ลำดับฟีโบนัชชีคืออะไร?
ลำดับฟีโบนัชชีคือลำดับของตัวเลขที่เริ่มต้นด้วย **0 และ 1** และตัวเลขถัดไปในลำดับจะเกิดจากการบวกตัวเลขสองตัวก่อนหน้านั้นเข้าด้วยกัน ดังนี้:
- 0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, 55, 89, 144, ...

**วิธีการคำนวณ:**
- เริ่มต้น: 0, 1
- 0 + 1 = **1**
- 1 + 1 = **2**
- 1 + 2 = **3**
- 2 + 3 = **5**
- 3 + 5 = **8**
- และต่อไปเรื่อย ๆ

### ที่มาและตัวอย่างในชีวิตจริง
ฟีโบนัชชีได้แรงบันดาลใจจากปัญหาเกี่ยวกับการขยายพันธุ์ของกระต่าย: ถ้ามีกระต่าย 1 คู่ในเดือนแรก และทุกคู่สามารถผลิตกระต่ายคู่ใหม่ได้ทุกเดือน (โดยคู่ใหม่ต้องใช้เวลา 1 เดือนกว่าจะโตและผสมพันธุ์ได้) จำนวนกระต่ายจะเพิ่มขึ้นตามลำดับนี้

### ความสำคัญและการประยุกต์ใช้
1. **ในธรรมชาติ**:
  - ลำดับฟีโบนัชชีปรากฏในรูปแบบธรรมชาติ เช่น จำนวนกลีบดอกไม้ (3, 5, 8, 13...), การเรียงตัวของเมล็ดในดอกทานตะวัน หรือเกลียวของเปลือกหอย
  - มันสัมพันธ์กับ **อัตราส่วนทองคำ** (Golden Ratio, ≈ 1.618) ซึ่งเกิดจากการหารตัวเลขฟีโบนัชชีที่อยู่ติดกันเมื่อลำดับสูงขึ้น (เช่น 34/21 ≈ 1.619)

2. **ในคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์**:
  - ใช้ในการวิเคราะห์ลำดับและรูปแบบ
  - มีความสัมพันธ์กับทฤษฎีจำนวนและเรขาคณิต

3. **ในเทคโนโลยีและศิลปะ**:
  - ใช้ในอัลกอริทึมคอมพิวเตอร์ เช่น การค้นหาแบบ Fibonacci Search
  - สถาปนิกและศิลปินใช้เพื่อสร้างสัดส่วนที่สวยงามตามอัตราส่วนทองคำ

### สรุป
ฟีโบนัชชีคือลำดับตัวเลขที่เริ่มจาก 0 และ 1 โดยตัวเลขถัดไปเกิดจากการบวกตัวเลขสองตัวก่อนหน้า เป็นแนวคิดที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ซึ่งพบได้ทั้งในธรรมชาติ คณิตศาสตร์ และการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าสนใจอยากรู้เพิ่มเติม เช่น การคำนวณหรือตัวอย่างในธรรมชาติ บอกมาได้เลยนะคะ!
#69
เดือนกุมภาพันธ์มี 28 วันเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของปฏิทินที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งก็คือ **ปฏิทินกริกอเรียน** (Gregorian Calendar) คำตอบนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของปฏิทินโรมันโบราณและการปรับปรุงในเวลาต่อมา ลองมาดูเหตุผลกันทีละขั้นตอน:

1. **จุดเริ่มต้นจากปฏิทินโรมัน**:
   - เดิมที ปฏิทินโรมันมีเพียง 10 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม (Martius) และสิ้นสุดที่เดือนธันวาคม (December) โดยมีทั้งหมด 304 วันต่อปี ส่วนช่วงฤดูหนาวที่เหลือไม่ได้ถูกนับเป็นเดือนอย่างเป็นทางการ
   - ต่อมาในศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสต์ศักราช กษัตริย์นูมา ปอมปิเลียส (Numa Pompilius) ได้เพิ่มเดือนมกราคม (Januarius) และกุมภาพันธ์ (Februarius) เข้ามา เพื่อให้ครอบคลุมทั้งปี ซึ่งทำให้ปีหนึ่งมีประมาณ 354 หรือ 355 วัน (คล้ายปฏิทินจันทรคติ)

2. **ทำไมกุมภาพันธ์สั้น**:
   - ชาวโรมันถือว่าจำนวนวันที่เป็นเลขคู่ (เช่น 28, 30) นั้นไม่เป็นมงคล จึงพยายามกำหนดให้เดือนส่วนใหญ่มีจำนวนวันเป็นเลขคี่ (เช่น 31 หรือ 29)
   - เดือนกุมภาพันธ์ถูกกำหนดให้เป็นเดือนสุดท้ายของปีในปฏิทินโรมันเดิม และทำหน้าที่เป็นเดือน "ปรับสมดุล" เพื่อให้จำนวนวันในหนึ่งปีสอดคล้องกับรอบดวงอาทิตย์ (ประมาณ 365 วัน) ด้วยเหตุนี้ มันจึงสั้นกว่าปกติ โดยเริ่มแรกมี 28 วัน

3. **การปฏิรูปของจูเลียส ซีซาร์**:
   - ในปี 46 ก่อนคริสต์ศักราช จูเลียส ซีซาร์ ปฏิรูปปฏิทินเป็น **ปฏิทินจูเลียน** (Julian Calendar) เพื่อให้สอดคล้องกับรอบดวงอาทิตย์มากขึ้น (365.25 วันต่อปี) เขากำหนดให้ทุกเดือนมี 30 หรือ 31 วัน ยกเว้นกุมภาพันธ์ที่ยังคงมี 28 วัน แต่เพิ่มวันพิเศษ (29 วัน) ใน "ปีอธิกสุรทิน" (leap year) ทุก ๆ 4 ปี

4. **การปรับแต่งในปฏิทินกริกอเรียน**:
   - ในปี ค.ศ. 1582 สมเด็จพระสันตปาปาเกรเกอรีที่ 13 ปรับปรุงปฏิทินจูเลียนเป็นปฏิทินกริกอเรียน เพราะปฏิทินจูเลียนยาวเกินไปเล็กน้อย (ประมาณ 11 นาทีต่อปี) ซึ่งสะสมจนวันคลาดเคลื่อนไปหลายวัน
   - อย่างไรก็ตาม โครงสร้างพื้นฐานของเดือนกุมภาพันธ์ยังคงเหมือนเดิม: 28 วันตามปกติ และ 29 วันในปีอธิกสุรทิน

5. **เหตุผลเชิงวัฒนธรรมและปฏิบัติ**:
   - กุมภาพันธ์ยังคงสั้นอยู่เพื่อรักษาสมดุลของจำนวนวันในหนึ่งปี (365 หรือ 366) โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงเดือนอื่น ๆ มากเกินไป
   - นอกจากนี้ การที่กุมภาพันธ์เป็นเดือนที่สองในปฏิทินสมัยใหม่ (หลังจากมกราคมกลายเป็นเดือนแรก) ทำให้มันยังคงรักษาความเป็น "เดือนสั้น" จากประเพณีโรมัน

**สรุป**: เดือนกุมภาพันธ์มี 28 วันเพราะมันสืบทอดมาจากปฏิทินโรมันที่กำหนดให้เป็นเดือนสั้นเพื่อปรับสมดุลวันในรอบปี และมีการคงโครงสร้างนี้ไว้ผ่านการปฏิรูปปฏิทินจูเลียนและกริกอเรียน แม้จะมีการเพิ่มวันในปีอธิกสุรทินเป็น 29 วันทุก ๆ 4 ปีก็ตาม คำอธิบายนี้ผสมผสานทั้งเหตุผลทางประวัติศาสตร์และการคำนวณทางดาราศาสตร์ค่ะ!
#70
วิธีลบคุกกี้ใน Google Chrome มีขั้นตอนดังนี้ (สำหรับวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 คาดว่าระบบจะยังคล้ายกับเวอร์ชันปัจจุบัน):

1. **เปิด Google Chrome** บนคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ของคุณ
2. **ไปที่การตั้งค่า**:
   - คลิกที่ไอคอนสามจุด (⁝) มุมขวาบนของเบราว์เซอร์
   - เลือก **การตั้งค่า** (Settings)
3. **ไปที่ส่วนความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย**:
   - เลื่อนลงมาหรือเลือก **ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย** (Privacy and security) จากเมนูด้านซ้าย
4. **เลือก "ล้างข้อมูลการท่องเว็บ"**:
   - คลิกที่ **ล้างข้อมูลการท่องเว็บ** (Clear browsing data)
5. **เลือกข้อมูลที่ต้องการลบ**:
   - ในแท็บ **พื้นฐาน** (Basic) หรือ **ขั้นสูง** (Advanced):
     - ติ๊กช่อง **คุกกี้และข้อมูลไซต์อื่น ๆ** (Cookies and other site data)
     - คุณสามารถเลือกช่วงเวลาได้ เช่น "ชั่วโมงที่ผ่านมา" หรือ "ตลอดเวลา" (All time) เพื่อลบทั้งหมด
   - (ถ้าต้องการลบอย่างอื่น เช่น แคชหรือประวัติการท่องเว็บ ให้ติ๊กเพิ่ม)
6. **กดปุ่ม "ล้างข้อมูล"**:
   - คลิก **ล้างข้อมูล** (Clear data) เพื่อยืนยันการลบ

**หมายเหตุ**:
- การลบคุกกี้จะทำให้คุณออกจากระบบเว็บไซต์ที่เคยล็อกอินไว้ และอาจรีเซ็ตการตั้งค่าส่วนตัวบางอย่างบนเว็บ
- ถ้าใช้ Chrome บนมือถือ ขั้นตอนจะคล้ายกัน แต่เข้าเมนูผ่านไอคอนสามจุด > การตั้งค่า > ความเป็นส่วนตัว > ล้างข้อมูลการท่องเว็บ