ข่าว:

Exness ลงทะเบียนระบบใหม่ ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208
https://www.exness.com/boarding/sign-up/a/73208?lng=th
1. เลือกประเทศ ไทย
2. อีเมล์จริงของคุณ
3. รหัสผ่าน
* รหัสผ่านต้องมีความยาว 8-15 ตัว
* ใช้ทั้งอักษรตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก
* ใช้ทั้งตัวเลขและตัวอักษรภาษาอังกฤษ
* ห้ามใช้อักขระพิเศษ (!@#$%^&*., และอื่นๆ)
4. ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208

Main Menu

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

#61
การแก้ไขภาพถ่าย iPhone 15 เป็น HEIC ให้เป็น .JPG ทำอย่างไร

ทำตามนี้ https://www.businessinsider.com/guides/tech/heic-to-jpg



#62
แนะนำการคัดลอก Social Trading Exness JAO EA V12 47,666 USD

MT4 MT5 ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

คัดลอก Android iOS ได้ที่

https://social-trading.exness.com/strategy/110089094
#63
ข้อจำกัดอายุกับอาชีพ เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมานานหลายปี โดยทั่วไปแล้ว อาชีพส่วนใหญ่จะมีข้อจำกัดอายุขั้นต่ำและสูงสุดที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น อาชีพครูอนุบาลมักกำหนดให้ต้องมีอายุอย่างน้อย 20 ปี และอาชีพนักบินมักกำหนดให้มีอายุไม่เกิน 60 ปี ข้อจำกัดเหล่านี้มีเหตุผลหลายประการ เช่น

* เพื่อความปลอดภัย: อาชีพบางอาชีพมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรืออันตราย หากผู้ประกอบอาชีพมีอายุมากเกินไป อาจส่งผลต่อการตัดสินใจหรือปฏิกิริยาตอบสนองได้
* เพื่อประสิทธิภาพการทำงาน: อาชีพบางอาชีพต้องการทักษะหรือประสบการณ์เฉพาะที่อาจพัฒนาได้ยากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
* เพื่อความเป็นธรรม: ข้อจำกัดอายุอาจช่วยให้ผู้ประกอบอาชีพที่มีอายุน้อยมีโอกาสได้รับงานมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดอายุก็มีข้อเสียเช่นกัน เช่น

* อาจเป็นการแบ่งแยกทางอายุ: ข้อจำกัดอายุอาจทำให้ผู้ประกอบอาชีพที่มีอายุมากเกินไปถูกกีดกันออกจากตลาดแรงงาน
* อาจไม่สะท้อนถึงความสามารถของผู้ประกอบอาชีพ: ผู้ประกอบอาชีพที่มีอายุมากอาจมีทักษะหรือประสบการณ์ที่สูงกว่าผู้ประกอบอาชีพที่มีอายุน้อย

ในประเทศไทย พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดให้นายจ้างต้องจ้างลูกจ้างอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 60 ปี อย่างไรก็ดี กฎหมายนี้มีข้อยกเว้นสำหรับบางอาชีพ เช่น อาชีพครู อาจารย์ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ ผู้ประกอบวิชาชีพทางเทคนิคและเทคโนโลยี ผู้ประกอบวิชาชีพด้านวรรณศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์ ภาพยนตร์ และการแสดง และอาชีพอื่นตามที่รัฐมนตรีกำหนด

สำหรับข้อจำกัดอายุกับอาชีพในปัจจุบัน พบว่ามีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายมากขึ้น ตัวอย่างเช่น สายการบินบางแห่งเริ่มอนุญาตให้นักบินอายุ 65 ปีขึ้นไปทำงานต่อได้ นอกจากนี้ ยังมีอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น อาชีพนักพัฒนาซอฟต์แวร์ อาชีพนักออกแบบกราฟิก และอาชีพนักการตลาดดิจิทัล ซึ่งไม่จำเป็นต้องอาศัยทักษะทางกายภาพมากนัก ทำให้ผู้ประกอบอาชีพที่มีอายุมากสามารถทำงานได้นานขึ้น

โดยสรุปแล้ว ข้อจำกัดอายุกับอาชีพเป็นประเด็นที่ซับซ้อน ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ลักษณะของอาชีพ ความเสี่ยงต่อความปลอดภัย ประสิทธิภาพการทำงาน และความเป็นธรรม
#64
ตัวอย่างการทำงานตั้งแต่ตื่นนอน ขึ้นอยู่กับประเภทของงานและบุคคลนั้น ๆ โดยทั่วไปแล้ว การทำงานตั้งแต่ตื่นนอนจะช่วยให้สามารถเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายได้มากขึ้น ตัวอย่างการทำงานตั้งแต่ตื่นนอนที่พบได้บ่อย ได้แก่

* **การออกกำลังกาย** การออกกำลังกายในตอนเช้าจะช่วยกระตุ้นร่างกายและจิตใจให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า และพร้อมสำหรับการทำงานตลอดทั้งวัน ตัวอย่างการออกกำลังกายที่สามารถทำได้ในตอนเช้า ได้แก่ วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน โยคะ ไทชิ เป็นต้น
* **อ่านหนังสือหรือบทความ** การอ่านหนังสือหรือบทความในตอนเช้าจะช่วยเพิ่มความรู้และทักษะที่จำเป็นในการทำงาน ตัวอย่างหนังสือหรือบทความที่อ่านได้ในตอนเช้า ได้แก่ หนังสือเกี่ยวกับธุรกิจ เทคโนโลยี การพัฒนาตนเอง เป็นต้น
* **วางแผนงาน** การวางแผนงานในตอนเช้าจะช่วยให้สามารถจัดลำดับความสำคัญของงานและกำหนดเป้าหมายได้ชัดเจน ตัวอย่างกิจกรรมในการวางแผนงาน ได้แก่ เขียนรายการสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน กำหนดระยะเวลาในการทำงานแต่ละอย่าง เป็นต้น
* **ทำงานล่วงหน้า** การทำงานล่วงหน้าในตอนเช้าจะช่วยให้สามารถทำงานให้เสร็จได้ทันเวลาและไม่ต้องเร่งรีบในตอนท้าย ตัวอย่างงานที่สามารถทำงานล่วงหน้าได้ ได้แก่ การเตรียมเอกสาร ตอบอีเมล เป็นต้น

ตัวอย่างกิจวัตรการทำงานตั้งแต่ตื่นนอนของบุคคลทั่วไป ได้แก่

**เวลา 6:00 น.**

* ตื่นนอน
* อาบน้ำ แต่งตัว
* รับประทานอาหารเช้า

**เวลา 7:00 น.**

* ออกกำลังกาย
* อ่านหนังสือหรือบทความ

**เวลา 8:00 น.**

* ทำงาน

**เวลา 12:00 น.**

* รับประทานอาหารกลางวัน

**เวลา 13:00 น.**

* ทำงาน

**เวลา 17:00 น.**

* เลิกงาน

**เวลา 18:00 น.**

* พักผ่อน

**เวลา 22:00 น.**

* เข้านอน

อย่างไรก็ตาม กิจวัตรการทำงานตั้งแต่ตื่นนอนอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ประเภทของงาน ไลฟ์สไตล์ และเป้าหมายของแต่ละคน สิ่งสำคัญคือต้องหากิจวัตรที่เหมาะกับตนเองและช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
#65
ขยะสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ ตามลักษณะทางกายภาพและความสามารถในการจัดการ ได้แก่

* **ขยะอินทรีย์** คือ ขยะที่เน่าเสียและย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เช่น เศษอาหาร เศษผัก ผลไม้ ใบไม้ มูลสัตว์ เป็นต้น ขยะอินทรีย์สามารถนำไปหมักทำปุ๋ยเพื่อใช้ประโยชน์ได้
[Image of ขยะอินทรีย์]
* **ขยะรีไซเคิล** คือ ขยะที่สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ เช่น กระดาษ แก้ว พลาสติก โลหะ เป็นต้น ขยะรีไซเคิลช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบหรือเผาทำลาย
[Image of ขยะรีไซเคิล]
* **ขยะทั่วไป** คือ ขยะประเภทอื่นๆ ที่ไม่สามารถนำมารีไซเคิลได้ เช่น ถุงพลาสติก เศษวัสดุก่อสร้าง เศษอิฐ เศษปูน เป็นต้น ขยะทั่วไปสามารถนำไปฝังกลบหรือเผาทำลายได้
[Image of ขยะทั่วไป]
* **ขยะอันตราย** คือ ขยะที่มีสารปนเปื้อนหรือมีอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เช่น แบตเตอรี่ หลอดไฟ กระป๋องสเปรย์ ยาหมดอายุ เป็นต้น ขยะอันตรายต้องนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี
[Image of ขยะอันตราย]

นอกจากนี้ ขยะยังสามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทอื่นๆ ตามลักษณะทางกายภาพหรือคุณสมบัติอื่นๆ ของขยะ เช่น

* **ขยะมูลฝอย** คือ ขยะที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ เช่น ที่อยู่อาศัย ชุมชน สถานที่ทำงาน สถานศึกษา เป็นต้น
* **ขยะอุตสาหกรรม** คือ ขยะที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
* **ขยะการก่อสร้าง** คือ ขยะที่เกิดขึ้นจากการก่อสร้างอาคาร บ้านเรือน ถนน สะพาน เป็นต้น
* **ขยะอิเล็กทรอนิกส์** คือ ขยะที่เกิดขึ้นจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ เป็นต้น

การคัดแยกขยะก่อนทิ้งจะช่วยให้สามารถจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบหรือเผาทำลายได้
#66
เริ่มต้นออมเงิน เท่าไรดี ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น รายได้ ค่าใช้จ่าย เป้าหมายในการออม และวินัยในการออม

โดยทั่วไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมักแนะนำให้เริ่มต้นออมเงินอย่างน้อย 5-10% ของรายได้ต่อเดือน เพราะถือเป็นจำนวนเงินที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไปจนใช้ชีวิตลำบาก แต่ก็ไม่น้อยจนไม่คุ้มค่าที่จะออม

หากมีรายได้น้อย ก็สามารถเริ่มต้นออมเงินได้ตั้งแต่ 1-5% ของรายได้ต่อเดือน เช่น หากมีรายได้ 15,000 บาท ก็เริ่มต้นออมได้เดือนละ 750-1,500 บาท

หากมีรายได้มาก ก็สามารถเลือกออมเงินได้มากขึ้น เช่น หากมีรายได้ 50,000 บาท ก็เริ่มต้นออมได้เดือนละ 2,500-5,000 บาท หรือมากกว่านั้น

นอกจากนี้ เป้าหมายในการออมก็มีส่วนสำคัญในการกำหนดจำนวนเงินออม เช่น หากต้องการออมเงินเพื่อซื้อบ้าน อาจต้องออมเงินมากขึ้นกว่าการออมเงินเพื่อท่องเที่ยว

และสุดท้าย วินัยในการออมก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้เราสามารถออมเงินได้อย่างต่อเนื่องและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

หากเริ่มต้นออมเงินได้ยาก อาจลองตั้งเป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ ก่อน เช่น เริ่มต้นออมเงินเดือนละ 1,000 บาท เมื่อทำได้แล้ว ก็ค่อยเพิ่มจำนวนเงินออมขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราเริ่มชินกับการออมเงินแล้ว ก็จะสามารถออมเงินได้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกลำบาก

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับในการเริ่มต้นออมเงิน

* ตั้งเป้าหมายในการออมเงินให้ชัดเจน เช่น ออมเงินเพื่อซื้อบ้าน ออมเงินเพื่อเกษียณ ออมเงินเพื่อท่องเที่ยว เป็นต้น
* สำรวจรายรับ-รายจ่าย เพื่อหาว่าเราสามารถออมเงินได้เท่าไร
* กำหนดจำนวนเงินออมประจำเดือนให้ชัดเจน และพยายามออมเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้
* หาวิธีออมเงินที่เหมาะกับตัวเอง เช่น ออมทรัพย์ ฝากประจำ ลงทุน เป็นต้น
* หาแรงบันดาลใจในการออมเงิน เช่น มองหาคนที่ประสบความสำเร็จจากการออมเงิน เป็นต้น

การเริ่มต้นออมเงินอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากเรามีความพยายามและวินัย เราก็จะสามารถออมเงินได้สำเร็จ และช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้

--------------------------------------------------

ตัวเลขเริ่มต้นในการออมเงินที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น รายได้ ค่าใช้จ่าย เป้าหมายในการออม และวินัยในการออม

โดยทั่วไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินแนะนำให้เริ่มต้นออมเงินที่ 5-10% ของรายได้ต่อเดือน เพราะไม่มากจนเกินไป และไม่ยากจนเกินไปที่จะทำได้ อีกทั้งเป็นการฝึกวินัยในการออมเงินอีกด้วย

แต่หากมีรายได้น้อยหรือมีค่าใช้จ่ายสูง อาจเริ่มต้นออมเงินที่ 1-3% ของรายได้ต่อเดือนก่อน จากนั้นค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนการออมขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรายได้เพิ่มขึ้นหรือค่าใช้จ่ายลดลง

นอกจากนี้ ยังสามารถพิจารณาเป้าหมายในการออมเป็นตัวกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการออม เช่น หากต้องการออมเงินเพื่อซื้อบ้าน อาจต้องการออมเงิน 20% ของรายได้ต่อเดือน หากต้องการออมเงินเพื่อเกษียณ อาจต้องการออมเงิน 15% ของรายได้ต่อเดือน เป็นต้น

ที่สำคัญที่สุดคือ ควรตั้งเป้าหมายในการออมเงินที่ชัดเจนและเป็นไปได้ เพื่อให้มีแรงจูงใจในการออมต่อไป

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับในการเริ่มต้นออมเงิน

* **ตั้งเป้าหมายในการออมเงินที่ชัดเจน** เช่น ต้องการออมเงินเพื่อซื้อบ้าน ซื้อรถ เกษียณ หรือไปเที่ยว เป็นต้น
* **กำหนดสัดส่วนการออมเงิน** เช่น เริ่มต้นออมเงินที่ 5-10% ของรายได้ต่อเดือน จากนั้นค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนการออมขึ้นเรื่อยๆ
* **วางแผนการใช้จ่าย** เพื่อให้รู้ว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้
* **หักเงินออมก่อนใช้** วิธีนี้จะช่วยให้แน่ใจว่าจะได้ออมเงินจริงๆ
* **หาแหล่งออมเงินที่ปลอดภัย** เช่น บัญชีเงินฝาก กองทุนรวม หรือประกันชีวิต

การเริ่มต้นออมเงินอาจเป็นเรื่องยาก แต่หากทำได้สำเร็จ จะเป็นรากฐานที่สำคัญของชีวิตที่ประสบความสำเร็จ
#67
ชีวิตที่ประสบความสำเร็จเริ่มต้นจากความเข้าใจตนเอง รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ถนัดอะไร และจุดแข็งจุดอ่อนของตนเองคืออะไร เมื่อเข้าใจตนเองแล้ว ก็สามารถกำหนดเป้าหมายในชีวิตและวางแผนเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากความเข้าใจตนเองแล้ว การมีเป้าหมายในชีวิตก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เป้าหมายจะเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวเดินต่อไป และช่วยให้เรามุ่งมั่นตั้งใจในการทำสิ่งต่างๆ เป้าหมายที่ดีควรมีความชัดเจน ท้าทาย แต่สามารถบรรลุได้

นอกจากนี้ การมีวินัยในตนเองก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน วินัยจะช่วยให้เราทำตามแผนที่วางไว้ โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง

และสุดท้าย การมีทัศนคติที่ดีก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ทัศนคติที่ดีจะช่วยให้เรามองโลกในแง่บวก และเชื่อว่าเราสามารถประสบความสำเร็จได้ ถึงแม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากก็ตาม

ดังนั้น ชีวิตที่ประสบความสำเร็จจึงเริ่มต้นจากสิ่งเหล่านี้

* ความเข้าใจตนเอง
* การมีเป้าหมายในชีวิต
* การมีวินัยในตนเอง
* การมีทัศนคติที่ดี

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิต เช่น โอกาส โชค และความช่วยเหลือจากผู้อื่น

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้เป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น หากเราเข้าใจตนเอง มีเป้าหมายในชีวิต มีวินัยในตนเอง และมีความมุ่งมั่นตั้งใจ เราก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างแน่นอน
------------------------------------------------------------

ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ เริ่มต้นจากความเข้าใจในตัวเอง ว่าต้องการอะไร ต้องการใช้ชีวิตอย่างไร เป้าหมายในชีวิตคืออะไร เมื่อเข้าใจตัวเองแล้ว จึงจะสามารถวางแผนและดำเนินชีวิตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้

นอกจากนี้ ความสำเร็จยังเริ่มต้นจากการมีเป้าหมายที่ชัดเจนและท้าทาย เป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เรามุ่งมั่นและตั้งใจทำงานเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้น เป้าหมายที่ท้าทายจะช่วยให้เราพัฒนาตนเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

ความสำเร็จยังเริ่มต้นจากทัศนคติที่ดี ทัศนคติที่ดีจะช่วยให้เรามองโลกในแง่บวก มองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค

และสุดท้าย ความสำเร็จยังเริ่มต้นจากการกระทำ ความสำเร็จจะไม่เกิดขึ้น หากเราไม่ลงมือทำ จงกล้าที่จะก้าวออกจาก comfort zone ออกไปทำสิ่งใหม่ๆ กล้าที่จะเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ

หากสรุปเป็นข้อๆ ได้ว่า ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ เริ่มต้นจาก

* ความเข้าใจในตัวเอง
* การมีเป้าหมายที่ชัดเจนและท้าทาย
* ทัศนคติที่ดี
* การกระทำ

ตัวอย่างของคนประสบความสำเร็จในชีวิต เช่น บุคคลที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน บุคคลที่ประสบความสำเร็จในด้านการศึกษา บุคคลที่ประสบความสำเร็จในด้านธุรกิจ บุคคลที่ประสบความสำเร็จในด้านกีฬา เป็นต้น บุคคลเหล่านี้ล้วนมีความเข้าใจในตัวเอง ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและท้าทาย มีทัศนคติที่ดี และลงมือทำอย่างตั้งใจ

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไปตามนิยามของแต่ละคน บางคนอาจนิยามความสำเร็จว่า การมีงานทำที่ดี มีรายได้ที่มั่นคง บางคนอาจนิยามความสำเร็จว่า ได้ทำในสิ่งที่รักและมีความสุข บางคนอาจนิยามความสำเร็จว่า ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นต้น ไม่ว่านิยามความสำเร็จของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจตัวเองและมุ่งมั่นที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น
#68
สูตรการคำนวณ Maximum Lot Size ใน Forex

เปิดบัญชี MT4 MT5 ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

Maximum Lot Size = (Account Balance x Leverage) / (100,000 x Risk Percentage)

ตัวอย่างที่ 1
Maximum Lot Size = (1,000 x 200) / (100,000 x 100%)
Maximum Lot Size = 2 lot

ตัวอย่างที่ 2
Maximum Lot Size = (50,000 x 200) / (100,000 x 100%)
Maximum Lot Size = 100 lot

ตัวอย่างที่ 3
Maximum Lot Size = (200,000 x 30) / (100,000 x 100%)
Maximum Lot Size = 60 lot

ตัวอย่างที่ 4
Maximum Lot Size = (1,000 x 200) / (100,000 x 2%)
Maximum Lot Size = 0.04 lot


ที่มา https://www.forex.academy/what-is-the-max-lot-size-in-forex/
#69
iphone 15 pro max 256 GB กับ realme 11 pro+ เครื่องใดแรงกว่ากัน

iPhone 15 Pro Max 256 GB แรงกว่า Realme 11 Pro+ อย่างแน่นอน โดย iPhone 15 Pro Max ใช้ชิปเซ็ต A16 Bionic ซึ่งเป็นชิปเซ็ตระดับเรือธงล่าสุดจาก Apple ที่ผลิตด้วยกระบวนการผลิต 4nm มีประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือกว่าชิปเซ็ต Dimensity 7050 5G ที่ Realme 11 Pro+ ใช้อยู่มากพอสมควร

จากผลการทดสอบประสิทธิภาพของ Geekbench 5 พบว่า iPhone 15 Pro Max 256 GB ได้คะแนน Single-Core 1,783 คะแนน และ Multi-Core 4,743 คะแนน ส่วน Realme 11 Pro+ ได้คะแนน Single-Core 935 คะแนน และ Multi-Core 3,213 คะแนน

จะเห็นได้ว่า iPhone 15 Pro Max 256 GB ได้คะแนนมากกว่า Realme 11 Pro+ ในทุกด้าน ส่งผลให้ iPhone 15 Pro Max ทำงานได้เร็วกว่า ลื่นกว่า และรองรับการใช้งานที่หนักหน่วงได้ดีกว่า

นอกจากชิปเซ็ตแล้ว iPhone 15 Pro Max ยังมี RAM 12GB มากกว่า Realme 11 Pro+ ที่มี RAM 8GB ซึ่งจะช่วยให้ iPhone 15 Pro Max สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดังนั้นหากต้องการมือถือที่แรงที่สุด ประสิทธิภาพการทำงานสูง iPhone 15 Pro Max 256 GB จึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า Realme 11 Pro+ อย่างแน่นอน

------------------------------------------------
iphone 15 pro max 256 GB กับ realme 11 pro+ เครื่องใดขายทิ้ง เครื่องใดใช้งาน

ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น งบประมาณ ความต้องการ และไลฟ์สไตล์ของคุณ

**iPhone 15 Pro Max 256 GB**

* ข้อดี:
    * ประสิทธิภาพและคุณสมบัติที่เหนือกว่า
    * กล้องที่ยอดเยี่ยม
    * แบรนด์ Apple ที่มีชื่อเสียง
* ข้อเสีย:
    * ราคาแพง
    * อัปเดตซอฟต์แวร์ช้ากว่าคู่แข่ง

**realme 11 Pro+**

* ข้อดี:
    * ราคาประหยัด
    * คุณสมบัติที่ครบครัน
    * กล้องที่ดี
    * อัปเดตซอฟต์แวร์เร็วกว่าคู่แข่ง
* ข้อเสีย:
    * ประสิทธิภาพและคุณสมบัติด้อยกว่า iPhone 15 Pro Max
    * แบรนด์ realme ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก

หากคุณต้องการโทรศัพท์ที่มีประสิทธิภาพและคุณสมบัติที่เหนือกว่า กล้องที่ยอดเยี่ยม และแบรนด์ที่มีชื่อเสียง iPhone 15 Pro Max 256 GB เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

แต่หากคุณมีงบประมาณจำกัด ต้องการโทรศัพท์ที่มีคุณสมบัติครบครัน กล้องที่ดี และอัปเดตซอฟต์แวร์เร็ว realme 11 Pro+ เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

**คำแนะนำเฉพาะ**

* หากคุณกำลังมองหาโทรศัพท์ที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูง Realme 11 Pro+ เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม คุณสามารถซื้อได้ในราคาเพียงครึ่งหนึ่งของ iPhone 15 Pro Max แต่ยังคงมีหน้าจอที่ยอดเยี่ยม กล้องที่ยอดเยี่ยม และคุณสมบัติที่ครบครัน

* หากคุณต้องการโทรศัพท์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ iPhone 15 Pro Max 256 GB เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า คุณจะได้รับการประมวลผลที่เร็วขึ้น กล้องที่ดีขึ้น หน้าจอที่ดีขึ้น และอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น

ท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจว่าจะขายทิ้งเครื่องใดและใช้งานเครื่องใดนั้นขึ้นอยู่กับคุณ พิจารณาปัจจัยต่างๆ ข้างต้นอย่างรอบคอบเพื่อตัดสินใจที่ถูกต้องสำหรับคุณ
-------------------------------------------------------
iphone 15 pro max 256 GB กับ realme 11 pro+ เครื่องใด เทรด mt4 mt5 ได้ดีกว่า

ในแง่ของประสิทธิภาพโดยรวม iPhone 15 pro max 256 GB เทรด MT4 MT5 ได้ดีกว่า Realme 11 pro+ อย่างแน่นอน เนื่องจากมีสเปกที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดังนี้

* ชิปประมวลผล A16 Bionic ของ iPhone 15 pro max มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าชิป MediaTek Dimensity 920 ของ Realme 11 pro+ อย่างมาก โดย A16 Bionic นั้นมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับชิป M2 ของ Apple M2 ที่ใช้กับ MacBook Air เลยทีเดียว
* หน่วยความจำ RAM 6 GB ของ iPhone 15 pro max นั้นมากกว่าหน่วยความจำ RAM 8 GB ของ Realme 11 pro+ เล็กน้อย แต่หากพิจารณาจากประสิทธิภาพของชิปประมวลผลแล้ว 6 GB ของ iPhone 15 pro max ก็เพียงพอต่อการใช้งาน MT4 MT5 ได้อย่างลื่นไหลแล้ว
* หน่วยความจำภายใน 256 GB ของ iPhone 15 pro max นั้นเพียงพอต่อการติดตั้งแอปพลิเคชันและเก็บข้อมูลการเทรด MT4 MT5 ได้อย่างสบาย ๆ ในขณะที่ Realme 11 pro+ มีหน่วยความจำภายในเพียง 128 GB เท่านั้น

นอกจากนี้ iPhone 15 pro max ยังมีหน้าจอที่ใหญ่กว่า Realme 11 pro+ อีกด้วย ซึ่งจะช่วยให้นักเทรดมองเห็นข้อมูลต่าง ๆ บนหน้าจอได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม Realme 11 pro+ ก็มีจุดเด่นอยู่บ้าง เช่น ราคาที่ย่อมเยากว่า iPhone 15 pro max มาก และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานกว่าเล็กน้อย

ดังนั้น หากนักเทรดต้องการเทรด MT4 MT5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด iPhone 15 pro max 256 GB จึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า Realme 11 pro+ อย่างแน่นอน แต่หากนักเทรดมีงบประมาณจำกัดและต้องการเครื่องที่ใช้งานได้ดี Realme 11 pro+ ก็ยังสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
#70
การแก้ไขเว็บไม่ขึ้น plesk Lets Encrypt (Your connection is not private) 18 DEC 2023

ทำตามรูปภาพ เข้าหน้า login ก่อน