• Welcome to จั่นเจาดอทคอม ถามตอบ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต Forex MT4 MT5 เทรดทอง .
 

News:

Exness ลงทะเบียนระบบใหม่ ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208
https://www.exness.com/boarding/sign-up/a/73208?lng=th
1. เลือกประเทศ ไทย
2. อีเมล์จริงของคุณ
3. รหัสผ่าน
* รหัสผ่านต้องมีความยาว 8-15 ตัว
* ใช้ทั้งอักษรตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก
* ใช้ทั้งตัวเลขและตัวอักษรภาษาอังกฤษ
* ห้ามใช้อักขระพิเศษ (!@#$%^&*., และอื่นๆ)
4. ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208
---------------------------------------------------------
exness เปิดบัญชีลูกค้าใหม่ 4-31 มี.ค. 2568 รับโบนัท Rebate
เงินคืนจากการเทรด EURUSD 1 Lot Rebate 1.5 USD  ,
Gold 1 Lot  Rebate 2.80 USD , BTCUSD 1 Lot Rebate 5.74 USD
เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208
แจ้ง ID ที่เปิด ได้ที่ Line : junjaocom

Main Menu

Recent posts

#1
M.2 PCIe 4.0 x4 คือรูปแบบการเชื่อมต่อของ SSD (Solid State Drive) ที่ให้ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงมาก โดยสามารถแยกคำออกเป็นส่วน ๆ ได้ดังนี้:

---

### 🧩 1. **M.2**
- เป็น **ฟอร์แมต (form factor)** ของการ์ดขนาดเล็ก ที่ใช้สำหรับติดตั้ง SSD, Wi-Fi card ฯลฯ
- มีขนาดเล็กและบางกว่ารูปแบบเดิม เช่น SATA หรือ HDD
- ใช้ในโน้ตบุ๊กและพีซีที่ต้องการประหยัดพื้นที่

---

### ⚡ 2. **PCIe (Peripheral Component Interconnect Express)**
- เป็นมาตรฐานของช่องทางการเชื่อมต่อข้อมูลความเร็วสูงระหว่างอุปกรณ์กับเมนบอร์ด
- PCIe มีหลายเวอร์ชัน เช่น 3.0, 4.0, และ 5.0 ซึ่งแต่ละเวอร์ชันก็เร็วขึ้นเรื่อย ๆ

---

### 🚀 3. **PCIe 4.0**
- เป็นเวอร์ชันที่ 4 ของ PCIe
- ให้แบนด์วิธ (bandwidth) **ประมาณ 2 GB/s ต่อเลน** (lane)
- เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้า PCIe 3.0 เกือบ 2 เท่า

---

### 🔢 4. **x4**
- หมายถึงจำนวนเลนที่ใช้งานอยู่ = 4 เลน
- ดังนั้น PCIe 4.0 x4 มีความเร็วรวมสูงสุดประมาณ **8 GB/s** (2 GB/s x 4 เลน)

---

### 📌 สรุปง่าย ๆ:
**M.2 PCIe 4.0 x4 คือ SSD แบบเสียบช่อง M.2 ที่ใช้เทคโนโลยี PCIe 4.0 และใช้ 4 เลนในการส่งข้อมูล ซึ่งให้ความเร็วสูงสุดประมาณ 7,000–8,000 MB/s แล้วแต่รุ่น** ✨

--------------------------------------
#2
RAM DDR5(6000) 32GB กับ RAM DDR5(5200) 32GB  Mainboard rog strix b660-g gaming wifi ใช้ด้วยกันได้หรือไม่

เมนบอร์ด **ROG Strix B660-G Gaming WiFi** รองรับ RAM DDR5 ได้ก็จริง แต่มีข้อควรรู้หลายจุดเมื่อต้องจับคู่ RAM ที่มี **ความเร็วต่างกัน** อย่างในกรณีของคุณ:

### สรุปคำตอบ:
- ✅ **ใช้งานร่วมกันได้** ถ้าทั้งคู่เป็น **DDR5** (แม้ความเร็วไม่เท่ากัน)
- ⚠️ แต่จะทำงานที่ความเร็วของ **ตัวที่ช้ากว่า** (เช่น 5200 MHz)
- 🧠 ควรจับคู่ RAM ให้เหมือนกันทั้งสองแถว (ความเร็ว, ยี่ห้อ, รุ่น, CL) เพื่อ **เสถียรภาพสูงสุด**

---

### อธิบายเพิ่มเติม:
เมนบอร์ด **B660 chipset** รองรับ DDR5 ได้สูงสุดถึง ~6000 MHz (OC) แต่:

1. ถ้าคุณใส่ RAM DDR5-6000 กับ DDR5-5200 พร้อมกัน:
   - ระบบจะทำงานที่ **5200 MHz** เท่านั้น
   - เพราะ RAM จะ sync ตามตัวที่ต่ำกว่า

2. บางกรณีอาจต้องตั้งค่า **XMP Profile** หรือปรับค่าด้วยตนเองใน BIOS เพื่อให้มันทำงานที่ความเร็วที่เสถียร

3. ถ้าโชคไม่ดี อาจเจอปัญหา boot ไม่ติด หรือ crash ได้ในบางสถานการณ์ โดยเฉพาะหาก RAM คนละยี่ห้อ/รุ่น

---

### แนะนำ:
- ถ้าเป็นไปได้ ใช้ RAM รุ่นเดียวกัน ความเร็วเท่ากัน จะดีที่สุด (เช่น 2 แถว DDR5-6000 หรือ 2 แถว DDR5-5200)
- ถ้าจำเป็นต้องใช้แบบต่างความเร็วจริง ๆ ให้ใช้ DDR5 ทั้งคู่ และยอมรับว่าได้ความเร็วของตัวที่ช้า

อยากให้ช่วยดู RAM ทั้งสองตัวไหมว่ามัน compatible กันแค่ไหนแบบละเอียด (จากเว็บผู้ผลิต)?
-----------------------------------------------
#3
โตเกียวมีสนามบินหลัก 2 แห่งที่รองรับการเดินทางระหว่างประเทศและภายในประเทศ ได้แก่�

### 1. สนามบินฮาเนดะ (Haneda Airport - HND)
- **ชื่อเต็ม**: ท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียว (Tokyo International Airport)
- **ที่ตั้ง**: อยู่ในเขตโอตะ (Ōta) ของกรุงโตเกียว
- **จุดเด่น**:
  - ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมืองโตเกียวมากกว่าสนามบินนาริตะ
  - สะดวกในการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองด้วยรถไฟหรือรถบัส
  - เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางเข้าเมืองหรือมีเวลาจำกัด�

### 2. สนามบินนาริตะ (Narita Airport - NRT)
- **ชื่อเต็ม**: ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ (Narita International Airport)
- **ที่ตั้ง**: เมืองนาริตะ จังหวัดชิบะ ห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ 60 กิโลเมตร
- **จุดเด่น**:
  - มีขนาดใหญ่และมีเที่ยวบินระหว่างประเทศมากมาย
  - มีร้านค้าปลอดภาษีและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย
  - เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเที่ยวบินราคาประหยัดหรือมีแผนเดินทางไปยังภูมิภาคอื่นๆ ของญี่ปุ่น�

ทั้งสองสนามบินมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกสนามบินขึ้นอยู่กับแผนการเดินทาง ความสะดวกในการเข้าถึง และงบประมาณของคุณ�
---------------------------------------------
#4
รีเทนเนอร์ (Retainer) คือ อุปกรณ์ทางทันตกรรมที่ใช้หลังจากการจัดฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อ **คงสภาพฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ** ไม่ให้ฟันเคลื่อนกลับไปในรูปแบบเดิมก่อนจัดฟัน

---

### 📌 ประเภทของรีเทนเนอร์

1. **แบบลวด (Hawley Retainer)** 
   - ทำจากลวดและอะคริลิก 
   - ทนทาน ถอดล้างได้ 
   - อาจมองเห็นลวดเวลายิ้ม

2. **แบบใส (Clear Retainer หรือ Essix Retainer)** 
   - ทำจากพลาสติกใส 
   - แทบมองไม่เห็นเวลาสวมใส่ 
   - ต้องระวังเรื่องแตกหัก และห้ามโดนความร้อน

3. **แบบติดแน่น (Fixed Retainer)** 
   - เป็นลวดติดถาวรด้านหลังฟัน 
   - ไม่สามารถถอดเองได้ 
   - เหมาะกับคนที่อาจลืมใส่รีเทนเนอร์แบบถอดได้

---

### ✅ ทำไมต้องใส่รีเทนเนอร์?

หลังจัดฟัน ฟันจะยังไม่ "มั่นคง" และอาจเคลื่อนตัวได้ง่าย ถ้าไม่ใส่รีเทนเนอร์ ฟันอาจกลับไปในตำแหน่งเดิม ซึ่งหมายความว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการจัดฟันจะสูญเปล่า

---

### ⏱ ต้องใส่นานแค่ไหน?

- ช่วงแรก ๆ ควรใส่ **ตลอดเวลา (ยกเว้นเวลาทานอาหาร/แปรงฟัน)** ประมาณ 6 เดือน–1 ปี
- หลังจากนั้น ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ใส่เฉพาะตอนกลางคืน
- บางคนอาจต้องใส่ "ตลอดชีวิต" เพื่อรักษาผลลัพธ์
---------------------------------------------------
#5
"RAM DDR5 CL40" หมายถึงแรม (RAM) รุ่น DDR5 ที่มีค่า CL (CAS Latency) เท่ากับ 40

### มาดูกันทีละคำ:

---

🔹 **DDR5**: 
ย่อมาจาก **Double Data Rate 5** 
- เป็นเทคโนโลยี RAM รุ่นใหม่ ที่ต่อจาก DDR4 
- มีความเร็วสูงกว่า DDR4 
- ใช้พลังงานน้อยลง (แรงดันไฟต่ำกว่า) 
- ความจุต่อแถวสูงขึ้น 
- เริ่มมีใช้แพร่หลายในเมนบอร์ดรุ่นใหม่ (เช่น Intel Gen 12 ขึ้นไป, AMD AM5 เป็นต้น)

---

🔹 **CL40 (CAS Latency 40)**:
- CAS Latency หรือ "CL" คือจำนวนรอบสัญญาณนาฬิกาที่แรมใช้ในการตอบสนองต่อคำสั่งอ่านข้อมูล 
- ค่า CL ต่ำกว่า = ตอบสนองเร็วกว่า 
- แต่สำหรับ DDR5 ค่า CL มักจะสูงกว่า DDR4 เนื่องจากมีความถี่สูงกว่ามาก 
  - ตัวอย่าง: DDR4 CL16 ที่ 3200MHz vs DDR5 CL40 ที่ 6000MHz 
  - ถึงแม้ CL ของ DDR5 จะสูงกว่า แต่ความเร็วโดยรวมอาจยังดีกว่า เพราะความถี่ที่สูงกว่ามาก

---

### สรุปง่าย ๆ:
**"DDR5 CL40" คือ RAM รุ่นใหม่ที่เร็วมาก แต่มีการหน่วง (Latency) ตามตัวเลข CL ที่สูงขึ้น ซึ่งโดยรวมยังคงดีกว่า DDR4 รุ่นเดิมในหลาย ๆ ด้าน**

--------------------------------------------------

ถ้าเทียบกันตรง ๆ ระหว่าง **DDR5 CL40** กับ **DDR5 CL38** — ตัว **CL38 จะดีกว่า** ครับ เพราะมีค่า Latency ต่ำกว่า (ตอบสนองเร็วกว่าเล็กน้อย)

---

### 📌 เปรียบเทียบแบบเข้าใจง่าย:

| คุณสมบัติ        | DDR5 CL38          | DDR5 CL40         |
|------------------|--------------------|-------------------|
| **CAS Latency (CL)** | 38 (ดีกว่า)         | 40                |
| **ความเร็วตอบสนอง**| เร็วกว่านิดหน่อย     | ช้ากว่านิดหน่อย  |
| **เหมาะสำหรับ**   | คนที่ต้องการ performance ที่ดีที่สุด | ใช้งานทั่วไปก็เพียงพอ |

---

### 🔍 แล้วต่างกันมากไหม?
- ความต่างเล็กน้อยมากในการใช้งานทั่วไป เช่น เล่นเกม ดูหนัง เปิดเว็บ
- สำหรับ **สาย Overclock, ทำงานหนัก, Benchmark, หรือคอเกมที่ซีเรียสเรื่อง latency** — CL38 จะได้เปรียบ
- แต่ถ้า CL40 ราคาถูกกว่าและคุณไม่ได้ซีเรียสเรื่อง milliseconds เล็ก ๆ — ก็แทบไม่รู้สึกต่าง

---

### 🎯 เคล็ดลับการเลือก:
อย่าดูแค่ CL อย่างเดียว — ควรดูควบคู่กับ **ความถี่ (MHz)** ด้วย เช่น:
- DDR5 6000MHz CL40 
- DDR5 5600MHz CL38 

ในกรณีนี้ ถึง CL38 จะดูดีกว่า แต่ถ้า CL40 มีความถี่สูงกว่า ก็อาจเร็วโดยรวมมากกว่า

ถ้ามีรุ่นที่เล็งไว้หรือกำลังเลือกซื้ออยู่ บอกมาได้เลย เดี๋ยวช่วยวิเคราะห์ให้ว่า "ตัวไหนคุ้มสุด" 🔧💡
#6
ชิปเซ็ตของ Intel ที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร **B**, **H**, และ **Z** บนเมนบอร์ดนั้นมีความแตกต่างกันชัดเจนในเรื่องของ **ฟีเจอร์**, **ประสิทธิภาพ**, และ **กลุ่มเป้าหมาย** ดังนี้:

---

### 🔹 **B Series (Business/Basic)**
- เช่น: **B660, B760**
- 🧩 เน้นใช้งานทั่วไป หรือในองค์กร/สำนักงาน
- ❌ ไม่สามารถ Overclock CPU ได้
- 🔄 รองรับแรม XMP บางรุ่น (ขึ้นกับผู้ผลิตเมนบอร์ด)
- 🔌 ช่องเชื่อมต่อน้อยกว่า H และ Z (PCIe, SATA, USB)
- 💰 ราคาประหยัดที่สุดในกลุ่ม

---

### 🔸 **H Series (Home/Mainstream)**
- เช่น: **H610, H670, H770**
- 🧩 เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการใช้งานหลากหลาย
- ❌ ไม่สามารถ Overclock CPU ได้
- ✅ บางรุ่นรองรับการ Overclock แรม (XMP)
- 🔌 พอร์ตเชื่อมต่อมากกว่า B เล็กน้อย
- 🧠 เหมาะสำหรับคนที่อยากได้ฟีเจอร์กลางๆ

---

### 🔺 **Z Series (Enthusiast/High-End)**
- เช่น: **Z690, Z790**
- 🧩 สำหรับนักเล่นเกม/นัก OC (Overclocking)
- ✅ รองรับ Overclock ทั้ง CPU และ RAM
- 🔌 พอร์ตเชื่อมต่อเยอะที่สุด (PCIe, M.2, USB เยอะ)
- 🔋 รองรับฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น RAID, Multi-GPU
- 💸 ราคาสูงสุดในกลุ่ม

---

### 🔍 สรุปเปรียบเทียบแบบตาราง

| ชิปเซ็ต | Overclock CPU | Overclock RAM | พอร์ตเยอะ | ราคา | เหมาะกับใคร |
|--------|---------------|---------------|------------|------|-------------|
| **B**  | ❌            | บางรุ่น       | น้อย       | 💰   | องค์กร, ใช้งานทั่วไป |
| **H**  | ❌            | ✅ (บางรุ่น)   | ปานกลาง    | 💰💰 | ผู้ใช้ทั่วไป |
| **Z**  | ✅            | ✅             | เยอะมาก     | 💰💰💰 | เกมเมอร์, สาย OC |

---------------------------------------------
#7
คำว่า **"คอมประกอบ"** หรือ **"คอมพิวเตอร์ประกอบ"** มักหมายถึงคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ซื้อเป็นแบรนด์สำเร็จรูป (เช่น Dell, HP, Lenovo) แต่เป็นการเลือกซื้อชิ้นส่วนแยกมาต่อรวมกันเองตามความต้องการ เช่น เมนบอร์ด ซีพียู แรม การ์ดจอ ฯลฯ

การประกอบคอมพิวเตอร์แบบนี้ **ไม่ได้มี "ปีเริ่มต้น" แบบชัดเจน** แต่สามารถเล่าย้อนได้ว่า:

---

### 💡 ประวัติแบบคร่าว ๆ

- **ช่วงปี 1980s – 1990s**: การประกอบคอมเริ่มนิยมมากขึ้นในยุคของพีซี IBM และคลones ของมัน เพราะมีการผลิตชิ้นส่วนที่ "มาตรฐานเดียวกัน" มากขึ้น เช่น AT/ATX Form Factor ทำให้คนทั่วไปสามารถซื้อชิ้นส่วนมาประกอบเองได้ 
- **ช่วงกลางยุค 1990s เป็นต้นมา**: ร้านคอมพิวเตอร์ในหลายประเทศ รวมถึงไทย เริ่มขายคอมพิวเตอร์ประกอบอย่างแพร่หลาย ทั้งแบบจัดเซ็ตและแบบลูกค้าเลือกเอง (DIY)

---

### 📌 ถ้าพูดถึง "คอมประกอบในไทย"
- **ประมาณยุคปี 1995–2000**: เป็นช่วงที่ตลาดคอมประกอบในไทยเริ่มบูม มีร้านไอทีต่าง ๆ ตามพันธุ์ทิพย์ และศูนย์ไอทีอื่น ๆ ขายชิ้นส่วนให้ประกอบคอมได้ตามงบ

---

### สรุปสั้น:
> คอมพิวเตอร์ประกอบ (DIY PC) เริ่มนิยมในวงกว้างตั้งแต่ช่วงปลายปี 1980s ถึงต้น 1990s โดยเฉพาะเมื่อพีซีเริ่มใช้มาตรฐานชิ้นส่วนเดียวกัน และบูมในตลาดผู้ใช้ทั่วไปช่วงกลางถึงปลายยุค 1990s

------------------------------------------------------

คอมยุค **Pentium** (โดยเฉพาะช่วงยุค **กลางถึงปลายยุค 90s – ต้น 2000s**) ถือเป็นยุคที่ "คอมประกอบ" เริ่มบูมอย่างจริงจัง และเริ่มมีการเลือกชิ้นส่วนตามความต้องการมากขึ้น เช่น เล่นเกม, ทำงานเอกสาร, เขียนโปรแกรม

---

## 🖥� สเปกคอมยุค Pentium (โดยประมาณ)

นี่คือตัวอย่างสเปกของคอมประกอบในยุค **Pentium 1 ถึง Pentium III**:

---

### ✅ ตัวอย่าง 1: คอมยุค Pentium I (ประมาณปี 1994–1996)

- **CPU**: Intel Pentium 75 MHz – 200 MHz 
- **Mainboard**: Socket 5 หรือ Socket 7 
- **RAM**: 8MB – 32MB (แบบ EDO RAM หรือ SDRAM ยุคแรก) 
- **HDD**: 540MB – 1.2GB 
- **GPU**: VGA แบบ PCI (เช่น S3 Trio64 หรือ Tseng Labs ET6000) 
- **Sound Card**: Creative Sound Blaster 16 
- **CD-ROM**: 4X – 8X 
- **Floppy Drive**: 3.5 นิ้ว 1.44MB 
- **OS**: Windows 95 หรือ MS-DOS 6.22 

---

### ✅ ตัวอย่าง 2: คอมยุค Pentium II (ประมาณปี 1997–1999)

- **CPU**: Intel Pentium II 233 MHz – 450 MHz 
- **Mainboard**: Slot 1 
- **RAM**: 64MB – 128MB SDRAM 
- **HDD**: 2GB – 8GB 
- **GPU**: ATI Rage, RIVA TNT, หรือ Voodoo 3 (AGP) 
- **Sound Card**: Creative AWE64 
- **CD-ROM/DVD**: 24X หรือ CD-RW เริ่มมี 
- **OS**: Windows 95, 98 

---

### ✅ ตัวอย่าง 3: คอมยุค Pentium III (ประมาณปี 1999–2001)

- **CPU**: Intel Pentium III 500 MHz – 1 GHz 
- **Mainboard**: Slot 1 หรือ Socket 370 
- **RAM**: 128MB – 512MB SDRAM 
- **HDD**: 10GB – 40GB 
- **GPU**: NVIDIA RIVA TNT2, GeForce 2 MX, หรือ ATI Radeon 
- **Sound Card**: Sound Blaster Live! 
- **CD/DVD**: มี CD-RW และ DVD-ROM มากขึ้น 
- **OS**: Windows 98 SE, Windows ME, Windows 2000 

---

## 🎮 เกมยอดนิยมยุค Pentium:
- Doom, Quake, Diablo (Pentium I)
- StarCraft, Half-Life, Red Alert 2 (Pentium II)
- Counter-Strike, The Sims, Max Payne (Pentium III)
--------------------------------------------------
#8
ถ้า Windows 11 เข้าไม่ได้ และคุณต้องการใช้ **Command Prompt (CMD)** ในโหมด **Recovery/Advanced Startup** เพื่อซ่อมแซมระบบ มีหลายคำสั่ง DOS (จริงๆ คือคำสั่งใน CMD) ที่สามารถใช้ได้ ลองตามขั้นตอนและคำสั่งด้านล่างนี้ได้เลย:

---

### 🧰 เข้าสู่ Command Prompt จาก Advanced Startup
1. บูตเครื่อง แล้วกดปุ่ม **F11**, **Shift + F8**, หรือบูตจาก **USB Installer ของ Windows 11**
2. ไปที่:
   - **Troubleshoot** > **Advanced options** > **Command Prompt**

---

## 🔧 คำสั่ง CMD สำหรับซ่อม Windows 11

### 1. **ตรวจสอบดิสก์**
```cmd
chkdsk C: /f /r
```
- ตรวจสอบและซ่อมแซมไฟล์ที่เสียบนดิสก์ C

---

### 2. **ซ่อมไฟล์ระบบ**
```cmd
sfc /scannow /offbootdir=C:\ /offwindir=C:\Windows
```
- ใช้เมื่อสแกนจาก Recovery Mode

---

### 3. **ตรวจและซ่อมไฟล์ระบบด้วย DISM**
```cmd
DISM /Image:C:\ /Cleanup-Image /RestoreHealth
```
> เปลี่ยน `C:` เป็นพาร์ติชันที่ Windows ติดตั้ง ถ้าไม่ได้อยู่ใน C อาจเป็น D หรือ E เมื่อตรวจจาก recovery mode

---

### 4. **ซ่อม Boot Loader (กรณีเปิดเครื่องไม่ติด)**
```cmd
bootrec /fixmbr
bootrec /fixboot
bootrec /scanos
bootrec /rebuildbcd
```

> คำสั่งเหล่านี้เหมาะกับปัญหา Windows Boot ไม่เจอ OS หรือ Boot Loop

---

### 5. **ตั้งค่า Startup ใหม่**
```cmd
bcdboot C:\Windows /s C: /f UEFI
```
- ใช้กรณีไฟล์ boot เสียหรือไม่มี boot manager

---

## ✅ แนะนำเพิ่มเติม

- ตรวจสอบ Drive Letter ด้วย:
```cmd
diskpart
list volume
exit
```
เพื่อดูว่า Windows ของคุณอยู่ไดรฟ์ไหน (บางครั้งไม่ใช่ C: เมื่ออยู่ใน Recovery)

---

ถ้าคุณมีข้อผิดพลาดหรือ error code ตอนบูต เช่น **"INACCESSIBLE_BOOT_DEVICE"**, **"NTLDR is missing"**, หรือบูตแล้ววนลูป บอกมาเพิ่มเติมได้เลย เดี๋ยวช่วยเจาะจงให้ได้ครับ 😄

-----------------------------------------------
#9
"มหาวิทยาลัย" กับ "มหาวิทยาลัยราชภัฏ" ต่างก็เป็นสถาบันอุดมศึกษาเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน ทั้งที่มา หน้าที่ และเป้าหมายหลักของการจัดการศึกษา ดังนี้:

---

### 🏫 **มหาวิทยาลัยทั่วไป**
**ตัวอย่าง:** จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฯลฯ

- **ลักษณะ:** เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐหรือเอกชน ที่มุ่งเน้นงานวิจัย การผลิตบัณฑิต และพัฒนาองค์ความรู้ในระดับสูง
- **การวิจัย:** เน้นการทำวิจัยขั้นสูง ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ ฯลฯ
- **กลุ่มเป้าหมาย:** นักเรียนจากทั่วประเทศ หรือแม้แต่นักศึกษาต่างชาติ
- **ชื่อเสียงและแรงดึงดูด:** โดยทั่วไป มหาวิทยาลัยเหล่านี้มักมีชื่อเสียงสูง และการแข่งขันสูงในการสอบเข้า

---

### 🎓 **มหาวิทยาลัยราชภัฏ**
**ตัวอย่าง:** มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ฯลฯ

- **ลักษณะ:** เดิมคือ "วิทยาลัยครู" ต่อมาพัฒนาเป็น "สถาบันราชภัฏ" และปัจจุบันคือ "มหาวิทยาลัยราชภัฏ"
- **พันธกิจหลัก:** มุ่งเน้นการพัฒนาท้องถิ่น สนับสนุนการศึกษาในชุมชน ผลิตครู และพัฒนาบุคลากรในภูมิภาค
- **การวิจัย:** เน้นการวิจัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นหรือชุมชน
- **กลุ่มเป้าหมาย:** นักเรียนในพื้นที่หรือภูมิภาคใกล้เคียง
- **จุดเด่น:** ค่าธรรมเนียมการเรียนมักไม่สูง และมีความเชื่อมโยงกับโรงเรียนและหน่วยงานในท้องถิ่น

---

### 🧭 สรุปเปรียบเทียบ

| หัวข้อ | มหาวิทยาลัยทั่วไป | มหาวิทยาลัยราชภัฏ |
|--------|----------------------|------------------------|
| จุดมุ่งหมาย | วิจัย พัฒนาองค์ความรู้ | พัฒนาท้องถิ่น ผลิตครู |
| การวิจัย | ขั้นสูง ระดับชาติ/นานาชาติ | เชิงท้องถิ่น/ประยุกต์ใช้ |
| กลุ่มเป้าหมาย | ทั่วประเทศ/นานาชาติ | นักศึกษาในภูมิภาค |
| ค่าใช้จ่าย | อาจสูงกว่า | ค่อนข้างประหยัด |
| ประวัติ | มาจากสถาบันอุดมศึกษาโดยตรง | เดิมเป็นวิทยาลัยครู |

---

ถ้าอยากรู้ว่ามหาวิทยาลัยแบบไหนเหมาะกับตัวเอง อาจต้องดูเป้าหมายของเราเป็นหลัก เช่น อยากเป็นครูในภูมิลำเนา หรืออยากเป็นนักวิจัยระดับประเทศ ฯลฯ

------------------------------------------------------

มหาวิทยาลัยทั่วไปกับมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทยมีความแตกต่างกันในหลายด้าน ดังนี้:

1. **ที่มาและวัตถุประสงค์**:
   - **มหาวิทยาลัยทั่วไป**: อาจเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐหรือเอกชน มุ่งเน้นการผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ ทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพ รวมถึงการวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ โดยครอบคลุมหลากหลายสาขา เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
   - **มหาวิทยาลัยราชภัฏ**: เดิมคือ "วิทยาลัยครู" ต่อมาได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏตามพระราชบัญญัติในปี 2547 มีเป้าหมายหลักเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ส่งเสริมการศึกษาและวิชาชีพครู รวมถึงผลิตบัณฑิตที่ตอบสนองความต้องการของชุมชนในภูมิภาค เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

2. **ภารกิจหลัก**:
   - **มหาวิทยาลัยทั่วไป**: มุ่งเน้นทั้งการสอน การวิจัย และการให้บริการวิชาการ โดยบางแห่งอาจมีชื่อเสียงในระดับนานาชาติหรือเน้นสาขาเฉพาะ เช่น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การแพทย์
   - **มหาวิทยาลัยราชภัฏ**: เน้นการพัฒนาท้องถิ่นเป็นหลัก รวมถึงการผลิตครูที่มีคุณภาพ และการให้บริการชุมชนในพื้นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย

3. **สาขาวิชาที่เปิดสอน**:
   - **มหาวิทยาลัยทั่วไป**: มีความหลากหลายมากกว่า ครอบคลุมตั้งแต่วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ไปจนถึงสาขาเฉพาะทาง เช่น วิศวกรรมศาสตร์ การแพทย์
   - **มหาวิทยาลัยราชภัฏ**: เดิมเน้นสาขาการศึกษาและครุศาสตร์ ปัจจุบันขยายไปสู่สาขาอื่น ๆ เช่น บริหารธุรกิจ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี แต่ยังคงเน้นการตอบโจทย์ท้องถิ่น

4. **จำนวนและที่ตั้ง**:
   - **มหาวิทยาลัยทั่วไป**: มีทั้งในเมืองใหญ่และภูมิภาค เช่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหิดล
   - **มหาวิทยาลัยราชภัฏ**: มี 38 แห่งทั่วประเทศ กระจายในทุกภูมิภาค เพื่อให้เข้าถึงชุมชนท้องถิ่น

5. **งบประมาณและการบริหาร**:
   - **มหาวิทยาลัยทั่วไป**: หากเป็นของรัฐจะได้รับงบประมาณจากรัฐบาล ส่วนเอกชนบริหารด้วยทุนของตัวเอง
   - **มหาวิทยาลัยราชภัฏ**: เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ อยู่ภายใต้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้รับงบประมาณจากรัฐบาล และมีนโยบายชัดเจนในการพัฒนาท้องถิ่น

6. **ภาพลักษณ์และการรับรู้**:
   - **มหาวิทยาลัยทั่วไป**: บางแห่งมีชื่อเสียงในระดับชาติหรือนานาชาติ เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
   - **มหาวิทยาลัยราชภัฏ**: มักถูกมองว่าเป็นสถาบันที่เน้นการพัฒนาท้องถิ่นและผลิตครู แต่อาจไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากลเท่ามหาวิทยาลัยทั่วไปบางแห่ง

สรุปคือ มหาวิทยาลัยทั่วไปมีขอบเขตการทำงานที่กว้างและหลากหลายกว่า ส่วนมหาวิทยาลัยราชภัฏเน้นการพัฒนาท้องถิ่นและการผลิตครูเป็นหลัก แต่ทั้งสองก็มีบทบาทสำคัญในระบบการศึกษาของไทย
------------------------------------------------------

มหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทยมีทั้งหมด 38 แห่ง กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค ดังรายชื่อต่อไปนี้:

1. มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (กรุงเทพมหานคร)
2. มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม (กรุงเทพมหานคร)
3. มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี (กรุงเทพมหานคร)
4. มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (กรุงเทพมหานคร)
5. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (กรุงเทพมหานคร)
6. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (จังหวัดเชียงใหม่)
7. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (จังหวัดเชียงราย)
8. มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง (จังหวัดลำปาง)
9. มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ (จังหวัดอุตรดิตถ์)
10. มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร (จังหวัดกำแพงเพชร)
11. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ (จังหวัดนครสวรรค์)
12. มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม (จังหวัดพิษณุโลก)
13. มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ (จังหวัดเพชรบูรณ์)
14. มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม (จังหวัดมหาสารคาม)
15. มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด (จังหวัดร้อยเอ็ด)
16. มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร (จังหวัดสกลนคร)
17. มหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ (จังหวัดกาฬสินธุ์)
18. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (จังหวัดนครราชสีมา)
19. มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (จังหวัดบุรีรัมย์)
20. มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (จังหวัดสุรินทร์)
21. มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี (จังหวัดอุบลราชธานี)
22. มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ (จังหวัดศรีสะเกษ)
23. มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (จังหวัดอุดรธานี)
24. มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย (จังหวัดเลย)
25. มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ (จังหวัดชัยภูมิ)
26. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม (จังหวัดนครปฐม)
27. มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี (จังหวัดกาญจนบุรี)
28. มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี (จังหวัดเพชรบุรี)
29. มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ (จังหวัดฉะเชิงเทรา)
30. มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ (จังหวัดปทุมธานี)
31. มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี (จังหวัดลพบุรี)
32. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)
33. มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี (จังหวัดสุราษฎร์ธานี)
34. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช (จังหวัดนครศรีธรรมราช)
35. มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา (จังหวัดสงขลา)
36. มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา (จังหวัดยะลา)
37. มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต (จังหวัดภูเก็ต)
38. มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี (จังหวัดจันทบุรี)

มหาวิทยาลัยราชภัฏเหล่านี้ตั้งอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาการศึกษาและชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศไทย[](https://en.wikipedia.org/wiki/Rajabhat_universities)
---------------------------------------------------

มหาวิทยาลัยในประเทศไทยมีจำนวนมาก ครอบคลุมทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ มหาวิทยาลัยเอกชน มหาวิทยาลัยราชภัฏ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล รวมถึงสถาบันอื่น ๆ ที่มีสถานะเทียบเท่า เนื่องจากจำนวนทั้งหมดมีมากกว่า 100 แห่ง การระบุชื่อทุกแห่งอาจยาวเกินไป ดังนั้น ฉันจะสรุปประเภทและยกตัวอย่างเด่น ๆ พร้อมแนะนำวิธีค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมหากต้องการรายชื่อทั้งหมด

### ประเภทของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
1. **มหาวิทยาลัยของรัฐ (Public Universities)** 
   - เป็นสถาบันที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล บางแห่งมีสถานะเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับ (Autonomous Universities) ที่บริหารจัดการตนเอง 
   - ตัวอย่าง: 
     - จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (กรุงเทพฯ) 
     - มหาวิทยาลัยมหิดล (นครปฐม) 
     - มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (เชียงใหม่) 
     - มหาวิทยาลัยขอนแก่น (ขอนแก่น) 
     - มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (สงขลา)

2. **มหาวิทยาลัยราชภัฏ (Rajabhat Universities)** 
   - มี 38 แห่ง เน้นการพัฒนาท้องถิ่นและผลิตครู (ตามที่ระบุในคำถามก่อนหน้า) 
   - ตัวอย่าง: 
     - มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (กรุงเทพฯ) 
     - มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (เชียงใหม่) 
     - มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (นครราชสีมา)

3. **มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (Rajamangala Universities of Technology)** 
   - มี 9 แห่ง เน้นด้านเทคโนโลยีและวิชาชีพ 
   - ตัวอย่าง: 
     - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (ปทุมธานี) 
     - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (เชียงใหม่) 
     - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (นครราชสีมา)

4. **มหาวิทยาลัยเอกชน (Private Universities)** 
   - บริหารโดยเอกชน มักเน้นสาขาวิชาที่ตอบโจทย์ตลาด เช่น ธุรกิจ เทคโนโลยี 
   - ตัวอย่าง: 
     - มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 
     - มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) 
     - มหาวิทยาลัยรังสิต 
     - มหาวิทยาลัยศรีปทุม

5. **สถาบันเฉพาะทางและอื่น ๆ** 
   - เช่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (KMUTNB) หรือสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA)

### จำนวนโดยประมาณ
จากข้อมูลล่าสุด (จนถึงปี 2025) ประเทศไทยมีสถาบันอุดมศึกษารวมประมาณ 310 แห่ง (รวมวิทยาลัยและสถาบันอื่น ๆ) โดยในจำนวนนี้เป็นมหาวิทยาลัยประมาณ 123 แห่ง (แบ่งเป็นรัฐ 81 แห่ง และเอกชน 42 แห่ง)[](https://studyabroadaide.com/all-universities-thailand/)

### วิธีค้นหารายชื่อทั้งหมด
เนื่องจากรายชื่อทั้งหมดมีจำนวนมากและอาจมีการเปลี่ยนแปลง (เช่น การควบรวมหรือเปิดใหม่) แนะนำให้ดูข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น:
- **เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)**: www.mua.go.th 
- **ฐานข้อมูลออนไลน์**: เช่น www.4icu.org/th หรือ www.topuniversities.com 
- **Wikipedia**: มีรายชื่อมหาวิทยาลัยในประเทศไทยแยกตามประเภท (เช่น List of universities and colleges in Thailand)[](https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_universities_and_colleges_in_Thailand)

### คำแนะนำเพิ่มเติม
หากต้องการรายชื่อเฉพาะเจาะจง เช่น ในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง หรือเฉพาะสาขาวิชา (เช่น วิศวกรรมศาสตร์ แพทยศาสตร์) สามารถแจ้งเพิ่มเติมได้ ฉันจะช่วยค้นหาและจัดลำดับให้เหมาะสม!

**หมายเหตุ**: รายชื่อที่ให้ในคำตอบนี้เป็นเพียงตัวอย่างเด่น ๆ ไม่ครอบคลุมทั้งหมด เพราะจำนวนมากและเพื่อให้คำตอบกระชับตามหลักการตอบสั้นที่สุดเท่าที่จำเป็น
----------------------------------------------------
#10
แผ่นดินไหวในจังหวัดกระบี่เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2568 ขนาด 3.5 ริกเตอร์ เกิดจาก **รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย** ซึ่งเป็นหนึ่งในรอยเลื่อนที่มีพลังในภาคใต้ของประเทศไทย รอยเลื่อนนี้พาดผ่านจังหวัดสุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา และภูเก็ต มีลักษณะเป็นรอยเลื่อนระนาบเหลื่อมซ้าย (left-lateral strike-slip fault) และวางตัวในแนวตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้.[](https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1175928)

**ความถี่ของแผ่นดินไหว**: 
รอยเลื่อนคลองมะรุ่ยไม่ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้งเมื่อเทียบกับรอยเลื่อนอื่น ๆ ในประเทศไทย เช่น รอยเลื่อนในภาคเหนือ (อย่างรอยเลื่อนแม่จันหรือรอยเลื่อนพะเยา) ในอดีตมีบันทึกเหตุการณ์แผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนนี้ไม่มากนัก เช่น 
- ปี 2555 ขนาด 4.3 ที่ภูเก็ต 
- ปี 2558 ขนาด 4.5 ที่พังงา.  [](https://www.thaipbs.or.th/news/content/351241)
โดยทั่วไป แผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนนี้มักมีขนาดเล็กถึงปานกลาง (2.0-4.5 ริกเตอร์) และไม่ค่อยรุนแรงถึงขั้นสร้างความเสียหายใหญ่โต. นักวิชาการบางส่วนระบุว่ารอยเลื่อนคลองมะรุ่ยอาจไม่ใช่รอยเลื่อนที่มีพลังสูงมาก และการเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่จากรอยเลื่อนนี้มีโอกาสน้อย.[](https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2853058)[](https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_9718483)

อย่างไรก็ตาม การเกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่นี้ยังคงต้องจับตา เพราะอาจส่งผลต่อพื้นที่ที่มีหินปูน เช่น เกิดหลุมยุบได้ในบางกรณี.[](https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000035501)
------------------------------------------------------------------------

�i�turn0image1�turn0image4�turn0image5�turn0image6�เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2568 เวลา 14:27 น. ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 3.5 ที่ระดับความลึก 2 กิโลเมตร บริเวณตำบลคลองเขม้า อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ �cite�turn0search0� แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดจากการเลื่อนตัวของกลุ่มรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ซึ่งเป็นรอยเลื่อนตามแนวระนาบเหลื่อมซ้าย (left-lateral strike-slip fault) ที่พาดผ่านจังหวัดสุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา และภูเก็ต �cite�turn0search7��

แม้ว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้จะมีขนาดเล็ก แต่ประชาชนในพื้นที่สามารถรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน โดยเฉพาะในเขตอำเภอเหนือคลอง และพื้นที่ใกล้เคียง เช่น สนามบินกระบี่ โรงพยาบาลกระบี่ และศาลากลางจังหวัด �cite�turn0search6� อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานความเสียหายร้ายแรงจากเหตุการณ์นี้�

สำหรับความถี่ของแผ่นดินไหวในจังหวัดกระบี่ เหตุการณ์ที่สามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้เช่นนี้ถือว่าเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่สองในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา �cite�turn0search8��

นอกจากนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ยืนยันว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่ส่งผลให้เกิดสึนามิ เนื่องจากเป็นแผ่นดินไหวบนบกและมีขนาดเล็ก �cite�turn0search2��

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ สามารถรับชมได้จากรายงานข่าวของ Thai PBS News ด้านล่าง:

�video�แผ่นดินไหว "กระบี่" ขนาด 3.5 ลึก 2 กม.รับรู้แรงสั่นไหว | Thai PBS News�turn0search18�
----------------------------------------------------------------